แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ป.อ. มาตรา 52 (2) บัญญัติว่า ในการลดโทษประหารชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการลดมาตราส่วนโทษหรือลดโทษที่จะลง ถ้าจะลดกึ่งหนึ่งให้ลดเป็นโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือโทษจำคุกตั้งแต่ยี่สิบห้าปีถึงห้าสิบปี จึงเป็นดุลพินิจของศาลที่จะพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องๆ ไปว่าสมควรจะลดโทษเพียงใด และการใช้ดุลพินิจกำหนดโทษจำเลยเป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยแต่ละคนในแต่ละคดีจะถือเอาคำพิพากษาคดีอื่นมาเป็นแนวทางในการกำหนดโทษของจำเลยในคดีนี้หาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 67, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83 ริบของกลาง และนับโทษจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 746/2548 ของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ
จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์อ้างเป็นเหตุขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่งและวรรคสาม (2) ที่ถูกมาตรา 15 วรรคสาม (3)), 66 วรรคสาม ให้ลงโทษประหารชีวิต จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (2) คงจำคุกตลอดชีวิต ริบของกลาง ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้ลดโทษประหารชีวิตเป็นโทษจำคุก 25 ปีนั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 52 (2) บัญญัติว่า ในการลดโทษประหารชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการลดมาตราส่วนโทษหรือลดโทษที่จะลง ถ้าจะลดกึ่งหนึ่งให้ลดเป็นโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือโทษจำคุกตั้งแต่ยี่สิบห้าปีถ้าห้าสิบปี จึงเป็นดุลพินิจของศาลที่จะพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องๆไปว่าสมควรจะลดโทษเพียงใด คดีนี้จำเลยที่ 1 กระทำความผิดโดยมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำนวนมาก อันเป็นเหตุทำให้ยาเสพติดให้โทษชนิดดังกล่าวแพร่ระบาดมากยิ่งขึ้น พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง ที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจลดโทษประหารชีวิตให้จำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่ง โดยให้ลดโทษจำคุกตลอดชีวิตนั้นเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขส่วนที่จำเลยที่ 1 อ้างคำพิพากษาคดีอื่นมาในฎีกาเพื่อขอให้ศาลฎีกาประกอบดุลพินิจในการกำหนดโทษแก่จำเลยที่ 1 นั้น นอกจากจะเป็นคำพิพากษาของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นคนละชั้นศาลกับศาลฎีกาแล้ว การใช้ดุลพินิจกำหนดโทษจำเลยให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีและสภาพความผิดยังเป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยแต่ละคนในแต่ละคดี จะถือเอาคำพิพากษาคดีอื่นมาเป็นแนวทางในการกำหนดโทษของจำเลยในคดีนี้หาได้ไม่ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.