คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3891/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสองเข้าไปในที่พักของโจทก์ร่วม แล้วใช้อาวุธปืนขู่บังคับนำตัวโจทก์ร่วมไปกักขังไว้ที่ตึกแถวที่จำเลยที่ 1 เช่าจากผู้อื่น จากนั้นส่งจดหมายเรียกค่าไถ่ไปยังภริยาและบุตรของโจทก์ร่วมซึ่งอยู่ที่ประเทศไต้หวัน ระหว่างโจทก์ร่วมถูกกักขัง จำเลยทั้งสองมัดโจทก์ร่วมด้วยโซ่ที่มือและเท้าทั้งสองข้างและใส่กุญแจ โดยควบคุมตัวโจทก์ร่วมตลอดเวลา เมื่อโจทก์ร่วมจะถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะจำเลยทั้งสองจะช่วยถอดกางเกงให้ โจทก์ร่วมถูกกักขังอยู่เป็นเวลา 133 วัน จึงหลบหนีออกไปได้ การกระทำของจำเลยทั้งสองดังกล่าวเห็นได้ว่าโจทก์ร่วมย่อมหมดอิสระในการเคลื่อนไหวร่างกายไปที่อื่น และไม่สามารถประกอบกิจวัตรประจำวันด้วยตนเองได้ตลอดเวลาที่ถูกควบคุม เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมไม่ได้รับประทานยาแก้โรคเบาหวาน ทำให้อาการกำเริบ มีเลือดปนออกมากับอุจจาระและปัสสาวะ จึงเป็นการกระทำโดยทรมานจนเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 313 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 33, 83, 91, 309, 310, 313, 339, 340 ตรี, 371 พ.ร.บ. อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์ของกลางท้ายฟ้องและให้จำเลยทั้งสองคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ถูกประทุษร้ายเป็นเงิน 150,000 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่เมื่อสืบพยานโจทก์ไปได้ 3 ปาก จำเลยทั้งสองขอถอนคำให้การเดิมและให้การรับสารภาพ
ระหว่างพิจารณา นายฉี โจ้ง อี้ ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต เฉพาะความผิดตาม ป.อ. มาตรา 33, 83, 91, 309, 310, 313, 339, 340 ตรี
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตาม ป.อ. มาตรา 91 ขณะกระทำความผิดจำเลยที่ 2 อายุ 18 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตาม ป.อ. มาตรา 76 ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี 8 เดือน ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ลงโทษตาม พ.ร.บ. อาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90 จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 8 เดือน ฐานร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นโดยมีอาวุธ หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นและเอาตัวบุคคลอายุกว่าสิบห้าปีไปเพื่อค่าไถ่ อันเป็นการกระทำโดยทรมานหรือโดยทารุณโหดร้าย ซึ่งเป็นการกระทำกรรมเดียวกันให้ลงโทษฐานเอาตัวบุคคลอายุกว่าสิบห้าปีไปเพื่อเรียกค่าไถ่อันเป็นการกระทำโดยทรมานหรือโดยทารุณโหดร้ายตาม ป.อ. มาตรา 313 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทหนักจำคุกจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิต จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 33 ปี 4 เดือน ฐานร่วมกันชิงทรัพย์โดยมีอาวุธปืน จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 20 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 13 ปี 4 เดือน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพหลังจากสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้ว และคำให้การรับสารภาพของจำเลยทั้งสองในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละหนึ่งในสามตาม ป.อ. มาตรา 78 (ที่ถูกต้องระบุประกอบ ป.อ. มาตรา 53) คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 50 ปี (ที่ถูก 65 ปี 20 เดือน แต่จำคุกจำเลยที่ 1 ได้เพียง 50 ปี ตาม ป.อ. มาตรา 91 (3)) จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 32 ปี 16 เดือน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนนาฬิกาข้อมือยี่ห้อโรเล็กซ์หรือใช้ราคาแทนเป็นเงิน 150,000 บาท แก่โจทก์ร่วม ริบของกลางตามบัญชีของกลางท้ายฟ้องยกเว้นของกลางรายการที่ 3 ลูกกุญแจรถยนต์ รายการที่ 4 บัตรประจำตัวประชาชนของจำเลยที่ 1 รายการที่ 5 รถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า หมายเลขทะเบียน 5ว – 7952 กรุงเทพมหานคร รายการที่ 19 บัตรประจำตัวประชาชนของจำเลยที่ 2 และรายการที่ 19 อาวุธปืน ขนาด .357 หมายเลขทะเบียน สพ. 3/4308 ให้คืนเจ้าของ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยที่ 1 ขอถอนฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาต ให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 เพียงว่า ในความผิดตาม ป.อ. มาตรา 313 การกระทำของจำเลยที่ 2 ในการกักขังโจทก์ร่วมเพื่อเรียกค่าไถ่เป็นการกระทำโดยทรมานหรือโดยทารุณโหดร้ายอันเป็นความผิดตามวรรคสอง ของมาตรา 313 หรือไม่ และมีเหตุที่จะลงโทษจำเลยที่ 2 สถานเบา และลดโทษให้กึ่งหนึ่งหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 มีและพาอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนตามฟ้องไปที่เคหสถานอันเป็นที่พักอาศัยของโจทก์ร่วม แล้วใช้อาวุธปืนนั้นขู่บังคับโจทก์ร่วมกับรื้อค้นเอาเงินจำนวน 3,000 บาท และนาฬิกาข้อมือยี่ห้อโรเล็กซ์ราคา 150,000 บาทไป จากนั้นจำเลยทั้งสองเอาเสื้อคลุมศีรษะโจทก์ร่วมบังคับให้ขึ้นรถยนต์ที่ติดเครื่องรออยู่หน้าที่พักอาศัยของโจทก์ร่วมแล้วขับรถนำโจทก์ร่วมไปกักขังไว้บนชั้นที่ 3 ของตึกแถวที่จำเลยที่ 1 เช่าจากผู้อื่น แล้วส่งจดหมายเรียกค่าไถ่ไปยังภริยาและบุตรของโจทก์ร่วมซึ่งอยู่ที่ประเทศไต้หวันจนภริยาของโจทก์ร่วมตกลงจ่ายค่าไถ่ให้จำเลยทั้งสองจำนวน 275,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในระหว่างที่โจทก์ร่วมถูกกักขัง จำเลยทั้งสองควบคุมตัวโจทก์ร่วมอยู่ตลอดเวลา ได้มัดโจทก์ร่วมด้วยโซ่ที่มือและเท้าทั้งสองข้างและใส่กุญแจไว้ เมื่อโจทก์ร่วมจะถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะจำเลยทั้งสองจะช่วยถอดกางเกงให้ ระหว่างนี้โจทก์ร่วมไม่ได้รับประทานยารักษาโรคเบาหวาน ทำให้อุจจาระและปัสสาวะของโจทก์ร่วมมีเลือดปนออกมา โจทก์ร่วมถูกกักขังในลักษณะดังกล่าวเป็นเวลา 133 วัน จึงหลบหนีออกไปได้ เห็นได้ว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองดังกล่าวทำให้โจทก์ร่วมหมดอิสระในการเคลือนไหวร่างกาย และไม่สามารถประกอบกิจวัตรประจำวันด้วยตนเอง ทั้งทำให้อาการป่วยของโจทก์ร่วมกำเริบจนมีเลือดปนออกมากับอุจจาระและปัสสาวะอันเป็นการกระทำที่เลวร้ายยิ่งกว่าการปฏิบัติต่อนักโทษที่ถูกจำคุกอยู่ในเรือนจำเสียอีก การกระทำของจำเลยทั้งสองต่อโจทก์ร่วมจึงเป็นการกระทำโดยทรมานจนเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจแล้ว การกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 313 วรรคสอง หาใช่มาตรา 313 วรรคแรก ตามที่จำเลยที่ 2 ฎีกาไม่ และความผิดตามมาตรา 313 วรรคสอง ต้องระวางโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งศาลอุทธรณ์วางโทษจำคุกตลอดชีวิต อันเป็นขั้นต่ำของกฎหมายจึงเป็นการลงโทษสถานเบาที่สุดแล้ว ศาลฎีกาไม่อาจลงโทษต่ำกว่ากฎหมายได้ แต่จำเลยที่ 2 อายุ 18 ปีเศษ ศาลชั้นต้นจึงปรานีโดยลดมาตราส่วนโทษให้อีกหนึ่งในสามตาม ป.อ. มาตรา 76 จำเลยที่ 2 จึงได้รับโทษเพียงจำคุก 33 ปี 4 เดือน อันเป็นคุณแก่จำเลยที่ 2 มากอยู่แล้ว ส่วนที่จำเลยที่ 2 ขอให้ลดโทษตาม ป.อ. มาตรา 78 ให้จำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่ง เพราะจำเลยที่ 2 เข้ามอบตัวต่อเจ้าพนักงานตำรวจและในชั้นพิจารณาก็ให้การรับสารภาพจึงเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเป็นอย่างมากนั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ 2 จะมอบตัวต่อเจ้าพนักงานตำรวจและในชั้นจับกุมกับชั้นสอบสวนจะให้การรับสารภาพด้วยก็ตาม แต่ในชั้นพิจารณาจำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ ต่อเมื่อโจทก์สืบพยานไปถึง 3 ปากแล้ว จำเลยที่ 2 จึงให้การรับสารภาพ อันแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 2 พิจารณาโดยถ่องแท้จนเห็นแล้วว่าพยานหลักฐานของโจทก์มั่นคงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามฟ้อง จึงได้ยอมรับสารภาพเพื่อจะได้รับการลดโทษตามกฎหมาย ซึ่งเป็นการรับสารภาพเพราะจำนนต่อพยานหลักฐาน ที่ศาลอุทธรณ์ลดโทษให้ตาม ป.อ. มาตรา 78 หนึ่งในสามจากโทษที่ลงดังกล่าวมาข้างต้นเหมาะสมแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share