แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คดีก่อนผู้คัดค้านได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้น ขอให้ตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายและศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งถึงที่สุดแต่งตั้งให้ผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกแล้ว ผู้ร้องยื่นคำร้องคดีนี้อีกขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการของผู้ตาย ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านกับขอให้ตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกด้วย คำคัดค้านของผู้คัดค้านจึงเป็นการร้องซ้อนกับคำร้องขอที่ตนได้ยื่นไว้แล้วต้องห้ามมิให้ผู้คัดค้านร้องขอในเรื่องเดียวกันอีกตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1) ส่วนคำร้องขอของผู้ร้องนั้น เมื่อมรดกรายนี้มีคำสั่งถึงที่สุดตั้งผู้จัดการมรดกแล้ว ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจที่จะยื่นคำร้องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกรายนี้อีก เนื่องจากเหตุจะสั่งถอนผู้คัดค้านจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายนั้น ไม่ใช่ประเด็นคดีนี้ ผู้ร้องชอบที่จะร้องขอให้เพิกถอนผู้คัดค้านจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายเสียก่อน คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองที่ตั้งผู้จัดการมรดกรายเดียวกันนี้อีกจึงไม่ชอบ
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องอยู่กินฉันสามีภริยากับเรืออากาศเอกสุรินทร์ วนิชวัฒนะ ผู้ตาย ตั้งแต่ปี 2524 จนผู้ตายถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2544 โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสและมีบุตรด้วยกัน 1 คน คือ นายสมกมล วนิชวัฒนะ ผู้ตายได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกบางส่วนให้แก่นายสมกมล มรดกที่เหลือนอกนั้นให้แก่ทายาททุกคน และตั้งให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกทั้งหมดของผู้ตาย การจัดการมรดกมีเหตุขัดข้อง ผู้ร้องไม่เคยถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ หรือเป็นบุคคลล้มละลาย ขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายมีบุตรกับผู้ตาย 6 คน ที่ดินที่ผู้ตายทำพินัยกรรมยกให้ผู้รับพินัยกรรมเป็สินสมรสระหว่างผู้คัดค้านกับผู้ตาย ผู้คัดค้านจึงมีกรรมสิทธิ์ร่วมกับผู้ตาย ผู้ตายไม่มีสิทธิทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินส่วนที่มิใช่ของผู้ตายให้ผู้อื่น พินัยกรรมที่ผู้ร้องอ้างเป็นพินัยกรรมปลอม ซึ่งผู้คัดค้านได้ยื่นฟ้องขอให้เพิกถอนพินัยกรรมปลอมดังกล่าวต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีหมายเลขดำที่ 8076/2544 และคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น ผู้ร้องไม่ใช่ทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียของผู้ตาย ไม่มีสิทธิร้องขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดก ขอให้ยกคำร้องและตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งแต่งตั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายร่วมกัน
ผู้ร้องและผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องและผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ได้ความตามทางนำสืบของผู้ร้องและผู้คัดค้านว่า ผู้คัดค้านจดทะเบียนสมรสกับผู้ตายเมื่อปี 2499 มีบุตรกับผู้ตาย 6 คน แล้วผู้ตายแยกไปอยู่กินฉันสามีภริยากับผู้ร้องเมื่อประมาณปี 2524 หรือ 2525 โดยมิได้จดทะเบียนหย่าร้างกับผู้คัดค้าน ผู้ตายอยู่กินฉันสามีภริยากับผู้ร้องจนถึงแก่ความตายโดยมิได้จดทะเบียนสมรสกัน มีบุตรด้วยกัน 1 คน ผู้ร้องอ้างว่าก่อนตายผู้ตายได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกให้แก่นายสมกมลบุตรของผู้ร้องกับผู้ตายและให้แก่ทายาทโดยธรรมทุกคน โดยระบุตั้งให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกทั้งหมดของผู้ตาย ที่ดิน 3 แปลงที่ในพินัยกรรมระบุยกให้แก่นายสมกมลเป็นที่ดินที่ได้มาระหว่างปี 2514 ถึง 2519 ผู้ร้องฎีกาขอให้ตั้งผู้ร้องแต่ผู้เดียวเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ส่วนผู้คัดค้านฎีกาว่าผู้ร้องไม่มีอำนาจที่จะยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายคดีนี้ เนื่องจากศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งถึงที่สุดแต่งตั้งให้ผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแล้วเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2544 ตามสำเนาคำสั่งของศาลชั้นต้นคดีหมายเลขแดงที่ 10135/2544 ที่แนบท้ายฎีกาผู้คัดค้าน การร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ร้องจึงเป็นการร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกซ้อน แต่เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านจึงมิได้ยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นอ้างในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ผู้ร้องแก้ฎีกาของผู้คัดค้านว่าผู้ร้องได้นัดและเปิดพินัยกรรมของผู้ตายให้ทายาทโดยธรรมทุกคนของผู้ตายทราบแล้วเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2544 ต่อมาวันที่ 7 มิถุนายน 2544 ผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายโดยปกปิดว่าไม่มีพินัยกรรม และศาลชั้นต้นมีคำสั่งแต่งตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแล้วตามฎีกาผู้คัดค้าน แต่ผู้คัดค้านกลับมาร้องขอให้ตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายอีกในคดีนี้ แสดงว่าผู้คัดค้านไม่ประสงค์จะใช้สิทธิผู้จัดการมรดกของผู้คัดค้าน และการร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ร้องกับผู้คัดค้านนั้นต่างกันเนื่องจากคำร้องขอของผู้ร้องเป็นไปตามเจตนารมณ์ของผู้ตายที่ระบุในพินัยกรรมให้เป็นผู้จัดการมรดก จึงไม่เป็นคำร้องซ้อน และผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอเพิกถอนการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้คัดค้านในคดีหมายเลขแดงที่ 10135/2544 แล้ว
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันว่า ผู้ตายถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2544 ผู้คัดค้านได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2544 ขอให้ตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายโดยไม่มีพินัยกรรมและศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งถึงที่สุดแต่งตั้งให้ผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแล้วเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2544 คดีหมายเลขแดงที่ 10135/2544 ส่วนคดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2544 และเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2544 ผู้คัดค้านได้ยื่นคำคัดค้านกับขอให้ตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกด้วย คำร้องขอของทั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ขอให้ตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกในคดีนี้นั้น สำหรับคำคัดค้านของผู้คัดค้านเป็นการร้องซ้อนกับคำร้องขอที่ตนได้ยื่นคำร้องขอไว้แล้วต้องห้ามมิให้ผู้คัดค้านร้องขอในเรื่องเดียวกันนี้อีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) ส่วนคำร้องขอของผู้ร้องนั้น เมื่อปรากฏว่ามรดกรายนี้มีคำสั่งถึงที่สุดตั้งผู้จัดการมรดกแล้ว ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจที่จะยื่นคำร้องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกสำหรับรายนี้อีก เนื่องจากเหตุจะสั่งถอนผู้คัดค้านจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายนั้นไม่ใช่ประเด็นคดีนี้ผู้ร้องชอบที่จะร้องขอให้เพิกถอนผู้คัดค้านจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายเสียก่อน ซึ่งตามคำแก้ฎีกาของผู้ร้องก็รับว่าได้ดำเนินการแล้ว แม้ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายดังกล่าวผู้คัดค้านจะเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาโดยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็ตาม แต่ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องหรือร้องขอเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน คู่ความย่อมมีอำนาจยกขึ้นอ้างได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองที่ตั้งผู้จัดการมรดกรายเดียวกันนี้อีกจึงไม่ชอบ ฎีกาของผู้คัดค้านฟังขึ้น”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ยกคำร้องขอของผู้ร้องและยกคำขอของผู้คัดค้าน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ.