คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2950/2549

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คดีก่อนโจทก์ฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยโดยอ้างว่าจำเลยยังคงอยู่ในบ้านและที่ดินโดยไม่มีสิทธิเพราะขายให้แก่โจทก์ไปแล้ว อันเป็นการฟ้องในมูลละเมิด ซึ่งมีประเด็นวินิจฉัยว่าจำเลยขายบ้านพร้อมที่ดินให้แก่โจทก์และยังคงอยู่ในบ้านและที่ดินเป็นการกระทำโดยละเมิดหรือไม่ ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ไปแล้วผิดนัดไม่ชำระเงินคืนโจทก์ อันเป็นการฟ้องในมูลหนี้กู้ยืมเงิน ซึ่งมีประเด็นวินิจฉัยว่า จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ในหนี้กู้ยืมเงินหรือไม่ จึงเป็นการฟ้องคนละเรื่องคนละประเด็นกับคดีก่อน แม้ในคดีก่อนจำเลยให้การว่าหนังสือสัญญาการซื้อขายทำขึ้นเป็นเรื่องที่จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ แต่ก็ไม่มีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยในคดีก่อนว่าจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ในมูลหนี้กู้ยืมเงินที่จำเลยให้การถึงหรือไม่ ฟ้องโจทก์ในคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำและไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีก่อน
ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคหนึ่ง มิได้บังคับว่าต้องเป็นหลักฐานที่ผู้ยืมทำขึ้นเพื่อมอบแก่ผู้ให้ยืมไว้ในความยึดถือ คำเบิกความของจำเลยในสำนวนคดีก่อนที่ว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ 200,000 บาท ซึ่งจำเลยได้ลงลายมือชื่อไว้ ย่อมเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างหนึ่งที่ได้ลงลายมือชื่อจำเลยผู้ยืมเป็นสำคัญ โจทก์นำมาใช้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมในการฟ้องคดีได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2540 จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ 200,000 บาท กำหนดชำระคืนภายใน 1 ปี การกู้เงินดังกล่าวจำเลยได้เบิกความรับต่อศาลไว้ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1073/2542 ของศาลชั้นต้น ตามสำเนาบันทึกคำให้การพยานเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 รวมทั้งได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือสัญญาการซื้อขายและลงมือชื่อไว้ ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 แต่จำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินคืนโจทก์ตามกำหนด โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินคืนโจทก์ 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์เคยนำหนังสือสัญญาการซื้อขายเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 มาฟ้องจำเลยเป็นคดีเรื่องผิดสัญญาขายฝากบ้านพร้อมที่ดิน ละเมิด และขอให้ขับไล่ ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1073/2542 ของศาลชั้นต้น ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง และศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน คดีถึงที่สุดโดยโจทก์ไม่ฎีกา จำเลยได้รับเงินจากโจทก์ 200,000 บาท ตามที่ระบุไว้ในสัญญาแต่ชำระคืนโจทก์ไปแล้ว 96,000 บาท เมื่อคดีถึงที่สุดแล้วมีผลเท่ากับโจทก์สละสิทธิที่จะฟ้องเรียกเงิน 104,000 บาท ที่จำเลยค้างชำระ ข้อความในหนังสือสัญญาการซื้อขายเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 เป็นเรื่องขายฝากบ้านพร้อมที่ดิน โจทก์ไม่อาจนำมาฟ้องอ้างว่าเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงิน ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1073/2542 ของศาลชั้นต้น และเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 เป็นคำเบิกความของจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ 1073/2542 ของศาลชั้นต้น ซึ่งมีข้อความชัดแจ้งว่าจำเลยชำระเงินแก่โจทก์ไปแล้ว 96,000 บาท หาใช่เป็นหนี้ 200,000 บาท ไม่ และเอกสารดังกล่าวไม่อาจถือเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินเช่นกัน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 4,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความรวม 6,000 บาท
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง และผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้ แต่ตามฎีกาของโจทก์ทุกข้อรวมทั้งข้อที่อ้างว่าเป็นข้อเท็จจริงนั้น ล้วนเป็นข้อกฎหมาย การที่ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามคำร้องของโจทก์ จึงเป็นการสั่งคดีโดยผิดหลงและเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ แต่เมื่อไม่มีผลต่อการวินิจฉัยคดีของศาลฎีกาจึงไม่จำต้องเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำและเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1073/2542 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่า เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1073/2542 ของศาลชั้นต้น อ้างว่าจำเลยขายบ้านพร้อมที่ดินให้แก่โจทก์ในราคา 200,000 บาท ตามหนังสือสัญญาการซื้อขายเอกสารหมาย จ.2 ในสำนวนคดีดังกล่าว แต่จำเลยไม่ซื้อบ้านและที่ดินคืนจากโจทก์ภายในกำหนดและยังคงอยู่ในบ้านและที่ดินโดยละเมิด จึงขอให้ขับไล่และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ 200,000 บาท แต่ไม่มีแบบพิมพ์สัญญากู้ยืมเงิน โจทก์และจำเลยจึงนำแบบพิมพ์หนังสือสัญญาการซื้อขายเอกสารหมาย จ.2 มากรอกข้อความแทนสัญญากู้ยืมเงิน คดีดังกล่าวถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ซึ่งพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ยกฟ้อง โดยศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยว่า หนังสือสัญญาการซื้อขายเอกสารหมาย จ.2 ที่โจทก์นำมาฟ้องมีข้อตกลงระบุว่าเป็นสัญญาขายฝากบ้านและที่ดินมือเปล่าเมื่อมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงตกเป็นโมฆะ และโจทก์ยังไม่มีสิทธิครอบครองที่จะมีอำนาจฟ้อง ต่อมาโจทก์จึงมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ เห็นว่า คดีก่อนโจทก์ฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยโดยอ้างว่าจำเลยยังคงอยู่ในบ้านและที่ดินโดยไม่มีสิทธิเพราะขายให้แก่โจทก์ไปแล้ว อันเป็นการฟ้องในมูลละเมิด ซึ่งมีประเด็นวินิจฉัยว่าจำเลยขายบ้านพร้อมที่ดินให้แก่โจทก์และยังคงอยู่ในบ้านและที่ดินเป็นการกระทำโดยละเมิดหรือไม่ ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ไปแล้วผิดนัดไม่ชำระเงินคืนโจทก์ตามกำหนด อันเป็นการฟ้องในมูลหนี้กู้ยืมเงิน ซึ่งมีประเด็นวินิจฉัยว่า จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ในหนี้กู้ยืมเงินตามฟ้องหรือไม่ จึงเป็นการฟ้องคนละเรื่องคนละประเด็นกับคดีก่อน แม้ในคดีก่อนจำเลยให้การต่อสู้คดีว่าหนังสือสัญญาการซื้อขายเอกสารหมาย จ.2 เป็นเรื่องที่จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ก็ตาม แต่ก็ไม่มีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยในคดีก่อนว่าจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ในมูลหนี้กู้ยืมเงินที่จำเลยให้การถึงหรือไม่ ฟ้องโจทก์ในคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำและไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีก่อน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำตามมาตรา 148 และเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามมาตรา 144 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น ที่โจทก์ฎีกามาอีกข้อหนึ่งว่า คดีมีเหตุที่ต้องวินิจฉัยถึงคำฟ้องของโจทก์ว่าเป็นเรื่องเรียกทรัพย์คืนด้วย แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ยังมิได้วินิจฉัยให้นั้น เห็นว่า ไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลของการวินิจฉัยถึงสิทธิของโจทก์ที่จะฟ้องคดีนี้เปลี่ยนแปลงไป
สำหรับปัญหาที่ว่า โจทก์จะนำคำเบิกความของจำเลยและหนังสือสัญญาการซื้อขายเอกสารหมาย จ.2 ในสำนวนคดีก่อนมาใช้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมในการฟ้องคดีนี้ได้หรือไม่และศาลชั้นต้นรับฟังพยานหลักฐานฝ่าฝืนต่อกฎหมายหรือไม่ ซึ่งเป็นปัญหาที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ยังมิได้วินิจฉัย และจำเลยได้ยกขึ้นอ้างเป็นประเด็นในคำแก้ฎีกาทำนองเดียวกับที่ได้ยกขึ้นอ้างในอุทธรณ์นั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปทีเดียว โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยใหม่ ในปัญหาข้อแรก เห็นว่า หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่ง นั้น บทกฎหมายดังกล่าวมิได้บังคับว่าต้องเป็นหลักฐานที่ผู้ยืมทำขึ้นเพื่อมอบแก่ผู้ให้ยืมไว้ในความยึดถือ คำเบิกความของจำเลยในสำนวนคดีก่อนที่ว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ 200,000 บาท ซึ่งจำเลยได้ลงลายมือชื่อไว้ ย่อมเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างหนึ่งที่ได้ลงลายมือชื่อจำเลยผู้ยืมเป็นสำคัญ โจทก์ชอบที่จะนำมาใช้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมในการฟ้องคดีนี้ได้ และเมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้อ้างคำเบิกความของจำเลยในสำนวนคดีก่อนดังกล่าวมาเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมซึ่งทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้อยู่แล้ว จึงไม่จำต้องวินิจฉัยเกี่ยวกับหนังสือสัญญาการซื้อขายเอกสารหมาย จ.2 ในสำนวนคดีก่อนว่าจะใช้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมได้หรือไม่อีก”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และฎีกาแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 4,000 บาท

Share