แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นผู้จัดการของจำเลยที่ 1 อนุมัติให้สมาชิกกู้โดยไม่มีผู้ค้ำประกันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลยที่ 1 แต่มิใช่กรณีร้ายแรง และไม่ใช่การทุจริตต่อหน้าที่ เมื่อจำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์จึงต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 118 (3) กรณีผิดนัดไม่จ่ายค่าชดเชย โจทก์มีสิทธิได้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของค่าชดเชยตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง แม้ในคำฟ้องของโจทก์จะขอดอกเบี้ยมาในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี แต่เพื่อความเป็นธรรม ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยตามแนวคำพิพากษาฎีกาที่ 6458-6461/2544 ให้โจทก์ได้รับดอกเบี้ยตามอัตราที่กำหนดไว้ในกฎหมาย ทั้งนี้ โดยอาศัยอำนาจตามความใน พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 52
การที่โจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับคดีเกี่ยวกับการกู้เงินซึ่งอาจทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหาย จึงมีเหตุที่จำเลยที่ 1 จะไม่ไว้วางใจให้โจทก์ทำงานกับจำเลยที่ 1 ต่อไป การที่จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุดังกล่าว จึงเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุอันสมควร มิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยที่ 1 ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งแปดร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินค่าชดเชยและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมรวมจำนวน 2,572,103 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์
จำเลยทั้งแปดให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานภาค 9 พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินจำนวน 25,423 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 17 ตุลาคม 2546) ไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยกและยกฟ้อง จำเลยที่ 2 ถึงจำเลยที่ 8
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ หรือฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายจ้างในกรณีร้ายแรงหรือไม่ จำเลยที่ 1 ต้องจ่ายค่าชดเชย ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมให้แก่โจทก์หรือไม่ ศาลแรงงานภาค 9 รับฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบคำขอกู้ อนุมัติให้จ่ายเงินกู้ จัดทำเอกสารเกี่ยวกับเงินกู้ให้เป็นไปตามแบบและระเบียบข้อบังคับของสหกรณ์จำเลยที่ 1 หมวดที่ 9 ข้อ 89 (4) โจทก์ได้อนุมัติให้สมาชิกกู้เงินจำนวน 88,000 บาท โดยไม่มีผู้ค้ำประกันซึ่งตามระเบียบสหกรณ์การเกษตรสายบุรี จำกัด ว่าด้วยการให้กู้เงินสวัสดิการพนักงาน พ.ศ. 2543 ข้อ 7 กำหนดว่า “การให้เงินกู้ประเภทสามัญผู้กู้ต้องทำหนังสือกู้ และสมาชิกผู้ค้ำประกันต้องทำหนังสือค้ำประกันให้ต่อสหกรณ์ตามที่กำหนดไว้” แต่อย่างไรก็ดีระเบียบฯ ดังกล่าว ข้อ 11 กำหนดว่า “จำนวนเงินกู้สามัญที่ให้แก่พนักงานผู้กู้คนหนึ่ง ๆ นั้น ย่อมสุดแต่คณะกรรมการดำเนินการพิจารณาเห็นสมควรแต่ต้องอยู่ภายในวงเงินไม่เกิน 12 เท่า ของเงินเดือน หรือจำนวนเงินได้รายเดือน รวม 60 เดือน ของพนักงานสหกรณ์นั้นสุดแต่จำนวนไหนน้อยกว่า ดังนั้น การกระทำของโจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการของจำเลยที่ 1 อนุมัติให้สมาชิกกู้โดยไม่มีผู้ค้ำประกันจึงเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับแต่มิใช่กรณีร้ายแรง และไม่ใช่การทุจริตต่อหน้าที่ เมื่อจำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์โดยที่โจทก์มิได้กระทำผิด 2 ข้อตามที่จำเลยที่ 1 กล่าวหา จำเลยที่ 1 ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 118 (3) กรณีผิดนัดไม่จ่ายค่าชดเชยโจทก์มีสิทธิได้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง แม้ในคำฟ้องของโจทก์จะขอดอกเบี้ยมาในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี แต่เพื่อความเป็นธรรมศาลฎีกาเห็นสมควรให้โจทก์ได้รับดอกเบี้ยตามอัตราที่กำหนดไว้ในกฎหมาย ทั้งนี้ โดยอาศัยอำนาจตามความในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 52
การที่โจทก์กลับฝ่าฝืนระเบียบเกี่ยวกับการกู้เงินซึ่งอาจทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหาย จึงมีเหตุที่จำเลยที่ 1 จะไม่ไว้วางใจให้โจทก์ทำงานกับจำเลยที่ 1 ต่อไป การที่จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุดังกล่าว จึงเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุอันสมควร มิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยที่ 1 ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายกรณีการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมให้แก่โจทก์ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าชดเชยจำนวน 46,680 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 17 ตุลาคม 2546) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานภาค 9.