คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6440/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยให้ล้มละลายในคดีนี้เป็นหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งคดีหมายเลขแดงที่ 6312/2537 ที่โจทก์อาจขอรับชำระหนี้ได้ในคดีล้มละลายของศาลแพ่งคดีหมายเลขแดงที่ ล. 171/2541 แต่โจทก์มิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีดังกล่าวจนต่อมาเจ้าหนี้ที่ขอรับชำระหนี้จำนวน 3 ราย ได้ถอนคำขอรับชำระหนี้ในคดีดังกล่าวทุกราย ศาลแพ่งจึงถือเป็นเหตุไม่ควรให้จำเลยถูกพิพากษาให้ล้มละลายและมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายของจำเลยแล้ว แม้ผลของคำสั่งดังกล่าวไม่ทำให้จำเลยหลุดพ้นหนี้สินตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 135 (2) ประกอบมาตรา 136 และโจทก์ยังอาจนำหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งคดีหมายเลขแดงที่ 6312/2537 มาฟ้องจำเลยให้ล้มละลายได้อีกในคดีนี้ก็ตาม แต่พฤติการณ์ที่โจทก์ละเลยมิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายของศาลแพ่งหมายเลขแดงที่ ล. 171/2541 โดยไม่ปรากฏเหตุอันสมควรทั้งที่มีหน้าที่ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 91 กรณีดังกล่าวจึงถือเป็นเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลายตามมาตรา 14

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลล้มละลายกลางพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง คดีหมายเลขแดงที่ 6312/2537 ซึ่งพิพากษาเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2537 ให้จำเลยชำระหนี้จำนวน 1,825,484.54 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,717,500 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 4,406 บาท นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 9 พฤศจิกายน 2536) จนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์สินจำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยขายทอดตลาดนำมาชำระหนี้จนครบถ้วน กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าที่โจทก์ชนะคดี ตามสำเนาคำพิพากษา ภายหลังมีคำพิพากษาดังกล่าวจำเลยไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงขอศาลออกหมายบังคับคดียึดทรัพย์สินจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 150549 แขวงบางซื่อ เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยออกขายทอดตลาดเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2538 แล้วได้เงินจำนวน 1,550,000 บาท ไม่พอชำระหนี้ ยอดหนี้คำนวณถึงวันที่ 14 พฤษภาคม 2547 จำเลยยังคงมีหนี้ค้างชำระต้นเงิน 842,147.73 บาท ดอกเบี้ย 1,067,889.47 บาท รวมเป็นเงิน 1,910,037.20 บาท ตามสำเนาบัญชีแสดงรายการรับจ่ายเงิน สำเนารายงานการขายอสังหาริมทรัพย์และสำเนารายการคำนวณยอดหนี้ ต่อมาวันที่ 26 มีนาคม 2541 ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแพ่งขอให้จำเลยล้มละลาย ศาลแพ่งพิจารณาแล้วมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2541 พิพากษาให้จำเลยล้มละลายเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2542 และมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายของจำเลยตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 135 (2) เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2546 ในคดีหมายเลขแดงที่ ล. 171/2541 ตามสำเนาคำพิพากษา โดยโจทก์มิได้นำหนี้ค้างชำระตามคำพิพากษาของศาลแพ่งคดีหมายเลขแดงที่ 6312/2537 มาขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ ล. 171/2541 แต่ประการใด ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์มีเพียงว่า มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลายหรือไม่ เห็นว่า หนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยให้ล้มละลายในคดีนี้เป็นหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งคดีหมายเลขแดงที่ 6312/2537 ที่โจทก์อาจขอรับชำระหนี้ได้ในคดีล้มละลายของศาลแพ่งหมายเลขแดงที่ ล. 171/2541 แต่โจทก์มิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีดังกล่าวจนต่อมาเจ้าหนี้ที่ขอรับชำระหนี้จำนวน 3 ราย ได้ถอนคำขอรับชำระหนี้ในคดีดังกล่าวทุกราย ศาลแพ่งจึงถือเป็นเหตุไม่ควรให้จำเลยถูกพิพากษาให้ล้มละลายและมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายของจำเลยแล้วเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2546 แม้ผลของคำสั่งดังกล่าวไม่ทำให้จำเลยหลุดพ้นหนี้สินตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 135 (2) ประกอบมาตรา 136 และโจทก์ยังอาจนำหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งคดีหมายเลขแดงที่ 6312/2537 มาฟ้องจำเลยให้ล้มละลายได้อีกก็ตาม แต่พฤติการณ์ที่โจทก์ละเลยมิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีดังกล่าวโดยไม่ปรากฏเหตุอันสมควรทั้งที่มีหน้าที่ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 91 กรณีดังกล่าวถือเป็นเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลายตามมาตรา 14 ที่ศาลล้มละลายกลางมีคำพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับ.

Share