แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องบังคับจำนองจำเลยในต้นเงิน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันจดทะเบียนจำนองจนถึงวันฟ้องเป็นเวลา 8 ปีเศษ โดยโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าดอกเบี้ยที่ค้างชำระดังกล่าวจำเลยได้ชำระให้แก่โจทก์บางส่วนและนำมาหักจากดอกเบี้ยที่ค้างชำระทั้งหมดแล้ว ดังนี้ เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่าครบกำหนดชำระดอกเบี้ยจำเลยไม่ชำระ จึงต้องถือว่าตามคำฟ้องดังกล่าวโจทก์คิดคำนวณดอกเบี้ยที่ค้างชำระจากจำเลยเต็มจำนวนตั้งแต่วันจดทะเบียนจำนองจนถึงวันฟ้อง แม้ในตอนท้ายของคำฟ้อง โจทก์จะมีคำขอบังคับให้ชำระดอกเบี้ยเพียง 5 ปี เป็นจำนวน 225,000 บาท แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏจากคำเบิกความของโจทก์ยอมรับว่า จำเลยได้ชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์บางส่วนแล้ว จำนวน 150,000 บาท ซึ่งทำให้ยอดหนี้ค่าดอกเบี้ยที่โจทก์ฟ้องลดลง ศาลจึงมีอำนาจที่จะนำเงินที่จำเลยชำระมาหักออกจากดอกเบี้ยที่ค้างชำระที่โจทก์ขอมาก่อนวันฟ้องได้ ดังนั้นเมื่อหักค่าดอกเบี้ยที่จำเลยชำระมาแล้วจำนวน 150,000 บาท จึงคงเหลือจำนวนดอกเบี้ยที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์จำนวน 75,000 บาท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำนองยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 40710 ตำบลนางรอง อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ ออกขายทอดตลาด นำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ถึงวันฟ้องจำนวน 525,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากขายได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์จนครบถ้วน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิจารณาคดีอย่างคดีไม่มีข้อยุ่งยาก
จำเลยไม่ให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้บังคับจำนองยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 40710 ตำบลนางรอง อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จำนวน 525,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 300,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 8 กรกฎาคม 2546) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,500 บาท คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยคู่ความไม่โต้แย้งว่าจำเลยจดทะเบียนจำนองที่ดินเพื่อเป็นประกันการกู้ยืมเงินจำนวน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี กำหนดชำระดอกเบี้ยเป็นรายเดือน นับแต่วันจดทะเบียนจำนอง โดยให้ถือสัญญาจำนองเป็นหลักฐานการกู้ยืม จำเลยได้รับเงินกู้ไปจากโจทก์ครบถ้วนในวันจดทะเบียนจำนอง จำเลยได้ชำระดอกเบี้ยให้โจทก์บางส่วน จำนวน 150,000 บาท โจทก์บอกกล่าวบังคับจำนองและจำเลยได้รับคำบอกกล่าวบังคับจำนองแล้ว คดีมีปัญหาวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยว่า ศาลจะนำเงินจำนวน 150,000 บาท ที่จำเลยชำระค่าดอกเบี้ยให้แก่โจทก์บางส่วนมาหักจากจำนวนเงินดอกเบี้ยที่โจทก์เรียกร้องมาตามคำฟ้องหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องบังคับจำนองจำเลยในต้นเงิน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2537 อันเป็นวันจดทะเบียนจำนองจนถึงวันฟ้องเป็นเวลา 8 ปีเศษ โดยโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าดอกเบี้ยที่ค้างชำระดังกล่าว จำเลยได้ชำระให้แก่โจทก์บางส่วนและนำมาหักจากดอกเบี้ยที่ค้างชำระทั้งหมดแล้ว ดังนี้ เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่าครบกำหนดชำระดอกเบี้ยจำเลยไม่ชำระ จึงต้องถือว่าตามคำฟ้องดังกล่าวโจทก์คิดคำนวณดอกเบี้ยที่ค้างชำระจากจำเลยเต็มจำนวน ตั้งแต่วันจดทะเบียนจำนองจนถึงวันฟ้อง แม้ในตอนท้ายของคำฟ้องโจทก์จะมีคำขอบังคับให้ชำระดอกเบี้ยเพียง 5 ปี เป็นจำนวน 225,000 บาท แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏจากคำเบิกความของโจทก์ยอมรับว่า จำเลยได้ชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์บางส่วนแล้ว จำนวน 150,000 บาท ซึ่งทำให้ยอดหนี้ค่าดอกเบี้ยที่โจทก์ฟ้องลดลง ศาลก็จึงมีอำนาจที่จะนำเงินที่จำเลยชำระมาหักออกจากดอกเบี้ยที่ค้างชำระที่โจทก์ขอมาก่อนวันฟ้องได้ ดังนั้นเมื่อหักค่าดอกเบี้ยที่จำเลยชำระมาแล้วจำนวน 150,000 บาท จึงคงเหลือจำนวนดอกเบี้ยที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์จำนวน 75,000 บาท ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเงินค่าดอกเบี้ยที่จำเลยชำระให้แก่โจทก์บางส่วน มิได้หมายความถึงดอกเบี้ยค้างชำระจำนวน 225,000 บาท ที่โจทก์ขอมาในคำฟ้อง และไม่นำมาหักให้จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับจำนองนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จำนวน 375,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 300,000 บาท นัดถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ เฉพาะค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นให้จำเลยใช้แทนเท่าที่โจทก์ชนะคดี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับ.