แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฎีกาขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนจำนองที่ดินทั้งสองแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 นอกเหนือจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 โอนที่ดินทั้งสองแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์โดยปลอดภาระจำนองแล้ว คำขอดังกล่าวของโจทก์เป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เพราะมิได้เรียกร้องทรัพย์สินจากจำเลยที่ 2 จึงต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา 200 บาท โจทก์เสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์มานั้นไม่ถูกต้อง จึงให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เสียเกินมาแก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 38002 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง และที่ดินโฉนดเลขที่ 37998 ตำบลนครสวรรค์ตก อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ให้แก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา หากการจดทะเบียนโอนเป็นการพ้นวิสัยให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 1,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนจำนองที่ดินทั้งสองแปลงระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และให้จำเลยที่ 2 ส่งมอบโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่โจทก์นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 37998 และเลขที่ 38002 ตำบลนครสวรรค์ตก อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ให้แก่โจทก์โดยปลอดจากภาระจำนอง และรับเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือจำนวน 60,000 บาท จากโจทก์ หากไม่โอนให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน หากจำเลยที่ 1 ไม่สามารถจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ได้ ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 1,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 28 พฤษภาคม 2541) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 30,000 บาท สำหรับจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนจำนองที่ดินทั้งสองแปลงและสิ่งปลูกสร้างในที่ดินที่ทำขึ้นระหว่างจำเลยทั้งสองได้หรือไม่ เห็นว่า ได้ความตามทางนำสืบของโจทก์และจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดสรรที่ดินและปลูกบ้านขาย โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ให้การสนับสนุนโครงการทางด้านการเงิน ปรากฏตามสารบัญจดทะเบียนของที่ดินโฉนดเลขที่ 37546 ว่า จำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินแปลงนี้มาเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2533 แล้วนำไปจำนองเป็นประกันแก่จำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2533 หลังจากนั้นได้ขึ้นเงินจำนองสองครั้ง ต่อมาวันที่ 22 สิงหาคม 2533 จึงทำการแบ่งแยกในนามเดิมเป็นแปลงย่อย จำนวน 7 แปลง โดยภาระจำนองยังคงครอบที่ดินที่แบ่งแยกทุกแปลง ซึ่งรวมถึงที่ดินพิพาททั้งสองแปลงด้วย การที่จำเลยที่ 1 นำที่ดินพิพาททั้งสองแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างไปจำนองเป็นประกันแก่จำเลยที่ 2 ดังกล่าว เป็นการกระทำลงทั้งที่รู้อยู่ว่าจะทำให้โจทก์เสียเปรียบ เพราะหากจำเลยที่ 1 ไม่ดำเนินการเพื่อไถ่ถอนจำนอง โจทก์ก็ไม่อาจได้รับโอนที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างโดยปลอดจำนองได้ แม้ว่าจะได้ชำระเงินแก่จำเลยที่ 1 ครบถ้วนแล้วก็ตาม มิฉะนั้นโจทก์ก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกจำนวนหนึ่งให้จำเลยที่ 2 เพื่อไถ่ถอนจำนองแทนจำเลยที่ 1 จึงจะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทและบ้านโดยปลอดจำนอง ซึ่งเห็นได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างยิ่ง และจำเลยที่ 2 ผู้รับจำนองซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกจากการจำนองก็น่าจะรู้ถึงข้อความจริงที่ทำให้โจทก์เสียเปรียบดังกล่าว เพราะตามสัญญาจำนองเป็นประกันก็ระบุว่ามีสิ่งปลูกสร้างอยู่ในที่ดินจำนองคือบ้านเดี่ยวชั้นเดียว 1 คูหา ซึ่งตรงกับสัญญากู้เงินและสัญญาจำนองเป็นประกัน ทั้งนี้โดยได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 ปลูกสร้างบ้านเสร็จเมื่อปี 2534 และได้ทำการขอเลขที่บ้านในนามของโจทก์ได้เลขที่บ้าน 247/38 หมู่ที่ 8 ตำบลนครสวรรค์ตก อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ตามสำเนาทะเบียนบ้าน และโจทก์กับครอบครัวได้เข้าอยู่อาศัยในบ้านดังกล่าวตั้งแต่สร้างเสร็จเป็นต้นมา ซึ่งข้อนี้นายเสนีย์ พยานจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้จัดการของจำเลยที่ 2 สาขานครสวรรค์ ตั้งแต่ปี 2535 ถึงปี 2538 ก็เบิกความรับว่า ที่ดินพิพาทที่จำเลยที่ 1 นำมาจำนองเป็นประกันหนี้เงินกู้นั้นมีบ้านปลูกอยู่ในที่ดินด้วยตามภาพถ่าย ซึ่งพยานได้ไปดูทรัพย์ที่จำนองด้วย และในการรับจำนองต้องมีการตรวจสอบทะเบียนบ้านด้วย นอกจากนี้ยังปรากฏตามรายงานการสำรวจและประเมินราคาที่ดินซึ่งพนักงานของจำเลยที่ 2 ทำการสำรวจที่ดินพิพาทก่อนรับจำนองเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2535 ระบุว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินซึ่งปรับปรุงถมดินแล้ว มีสิ่งปลูกสร้างเป็นตึกเดี่ยวชั้นเดียว 1 คูหา ขนาด 8 x 10 เมตร สภาพสร้างใหม่ ใช้เป็นที่อยู่อาศัย และยังมีบันทึกในช่องหมายเหตุด้วยว่า ทำประกันอัคคีภัยสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินด้วย เมื่อทำการตรวจสอบสำเนาทะเบียนบ้านของบ้านหลังนี้ตามขั้นตอนที่ต้องกระทำก็ย่อมรู้ได้ว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านสร้างใหม่ของโจทก์ ซึ่งได้ขอเลขที่บ้านเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2534 ดังปรากฏตามสำเนาทะเบียนบ้าน และหากสอบถามผู้อยู่อาศัยในบ้านดังกล่าวก็จะรู้ข้อความจริงทั้งหมดได้ทันที จำเลยที่ 2 จะอ้างแต่เพียงว่าจำเลยที่ 1 ยังมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลง จึงยอมจดทะเบียนรับจำนองทั้งที่ปรากฏหลักฐานว่าบ้านที่ปลูกอยู่บนที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และโจทก์พร้อมครอบครัวเข้าอยู่อาศัยแล้วเช่นนี้ย่อมไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 รับจำนองที่ดินพิพาทโดยสุจริตตามที่อ้าง พฤติการณ์แห่งคดีฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 รู้ถึงข้อความจริงที่ทำให้โจทก์เสียเปรียบในขณะรับจำนองที่ดินพิพาท ดังนั้น โจทก์จึงมีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาททั้งสองแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 237 วรรคหนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง โจทก์ฎีกาขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนจำนองที่ดินทั้งสองแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 นอกเหนือจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 โอนที่ดินทั้งสองแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์โดยปลอดภาระจำนองแล้ว คำขอดังกล่าวของโจทก์เป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เพราะมิได้เรียกร้องทรัพย์สินจากจำเลยที่ 2 จึงต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา 200 บาท โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาอย่างคดีมีทุนทรัพย์มานั้นไม่ถูกต้อง จึงให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เสียเกินมาแก่โจทก์
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนการจดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 37998 และ 38002 พร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และให้จำเลยที่ 2 ส่งมอบโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงแก่โจทก์ ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกินกว่า 200 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.