คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5257/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยด่าว่าผู้เสียหายว่า “อีเหี้ย อีสัตว์ อีควาย มึงคิดว่าเมียกูกินเงินไปหรือไง” และชี้มือไปที่ผู้เสียหาย ถ้อยคำดังกล่าวนอกจากจะเป็นคำหยาบคายแล้ว ยังมีลักษณะเป็นการเปรียบเทียบผู้เสียหายเป็นสัตว์เลื้อยคลาน สัตว์สี่เท้า และกล่าวหาผู้เสียหายว่า ผู้เสียหายว่าภริยาจำเลยของจำเลยเอาเงินของกลุ่มแม่บ้านไปใช้เป็นการส่วนตัว ถ้อยคำดังกล่าวมีลักษณะเป็นการดูหมิ่นผู้เสียหาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 393
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 393 ลงโทษปรับ 1,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับจัดการตาม ป.อ. มาตรา 29, 30
จำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า… ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ได้ความจากคำพยานโจทก์โดยนางแสงผู้เสียหายเบิกความว่า ขณะที่ประชุมอยู่นั้น ผู้เสียหายได้สอบถามนางสมภารภริยาจำเลยว่าเงินกองทุนปุ๋ยของกลุ่มแม่บ้านเหลือเท่าใด ซึ่งนางสมภารเป็นประธานกลุ่มแม่บ้านบ้านวังตอตั้ง แต่นางสมภารไม่ยอมพูดอะไร จำเลยจึงพูดขึ้นว่า “อีเหี้ย อีสัตว์ อีควาย มึงคิดว่าเมียกูกินเงินไปหรือไง” และชี้มือมาที่ผู้เสียหาย ขณะนั้นมีบุคคลที่ร่วมประชุมอยู่ด้วย 40 ถึง 50 คน ผู้เข้าร่วมประชุมได้ยินเสียงที่จำเลยกล่าวข้อความดังกล่าว นายวิจิตรเข้าห้ามปรามจำเลยและให้แยกกันกลับบ้าน นอกจากคำพยานผู้เสียหายแล้วโจทก์มีนายบุญส่งผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 11 และเป็นเจ้าของสถานที่ที่จัดประชุมเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงตามคำเบิกความผู้เสียหาย และโจทก์ยังมีนายวิจิตรซึ่งเป็นประธานประชาคมหมู่บ้านและเป็นประธานที่ประชุมเบิกความยืนยันว่าเมื่อจำเลยพูดข้อความดังกล่าวนายวิจิตรกลัวว่าจะเกิดเรื่องจึงได้เข้าห้ามปรามจำเลย เมื่อผู้เสียหายไปร้องทุกข์แล้ว พันตำรวจตรีบุญส่งพนักงานสอบสวนได้สอบสวนผู้เสียหายและพยานที่อยู่ในที่เกิดเหตุ จำนวน 21 ปาก โดยพันตำรวจตรีบุญส่งเบิกความยืนยันว่าชั้นสอบสวนพยานทุกปากให้การตรงกันว่าจำเลยได้ด่าผู้เสียหายด้วยถ้อยคำดังกล่าวจริง เห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ซึ่งล้วนแต่เป็นประจักษ์พยานอยู่ในที่เกิดเหตุ ต่างเบิกความสอดคล้องต้องกันมีเหตุผลมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยไม่ได้พูดด่าผู้เสียหาย แต่ยอมรับว่าจำเลยกับภริยาได้โต้เถียงกับผู้เสียหาย พยานจำเลยคงกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักรับฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยกล่าวถ้อยคำด่าว่าผู้เสียหายตามฟ้องโจทก์จริง
ปัญหาว่าคำด่าของจำเลยเป็นการดูหมิ่นผู้เสียหายหรือไม่ เมื่อพิเคราะห์ถึงถ้อยคำที่จำเลยด่าว่าผู้เสียหายว่า “อีเหี้ย อีสัตว์ อีควาย มึงคิดว่าเมียกูกินเงินไปหรือไง” และชี้มือไปที่ผู้เสียหายนั้น ถ้อยคำดังกล่าวนอกจากจะเป็นคำหยาบคายแล้ว ยังมีลักษณะเป็นการเปรียบเทียบผู้เสียหายเป็นสัตว์เลื้อยคลาน สัตว์สี่เท่า และกล่าวหาผู้เสียหายว่าผู้เสียหายว่าภริยาจำเลยเอาเงินของกลุ่มแม่บ้านไปใช้เป็นการส่วนตัว ถ้อยคำดังกล่าวมีลักษณะเป็นการดูหมิ่นผู้เสียหายต่อหน้าบุคคลที่สาม อันเป็นความผิดตามฟ้องโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำเลยนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย…
พิพากษายืน.

Share