แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
วันนัดชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มภายในกำหนด 15 วัน โจทก์มิได้เสียตามกำหนด ศาลชั้นต้นจึงสั่งจำหน่ายคดีตามคำแถลงของจำเลยแม้ได้ความว่าตัวโจทก์ถึงแก่กรรมภายหลังวันนัดชี้สองสถานวันเดียว แต่ทนายโจทก์ก็หาได้แจ้งให้ศาลทราบและขอให้ศาลสั่งการเกี่ยวกับคำสั่งนั้นแต่ประการใดไม่ จึงเป็นความผิดของฝ่ายโจทก์เอง การที่ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 132(1) แล้ว
ผู้รับมอบฉันทะจากทนายโจทก์ให้มาฟังคำสั่งและกำหนดวันพิจารณาในวันนัดชี้สองสถาน ได้ทราบคำสั่งนั้นถือได้ว่าโจทก์ได้ทราบกำหนดนัดดังกล่าวแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดกของนางเม้า อินทรตั้ง มารดาของโจทก์จำเลยรวมหลายรายการ ทุนทรัพย์ ๗๗๖,๐๐๗ บาท
จำเลยให้การต่อสู้คดีหลายประการ และว่าโจทก์ตีราคาทรัพย์พิพาทต่ำไปจำนวน ๑๗๕,๕๐๐ บาท เป็นการหลีกเลี่ยงค่าขึ้นศาล ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นนัดชี้สองสถานวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๑๘ ได้กำหนดประเด็นหน้าที่นำสืบ และมีคำสั่งเพิ่มทุนทรัพย์ขึ้นอีก ๑๗๕,๕๐๐ บาท และสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มใน ๑๕ วัน และนัดสืบพยานจำเลยวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๑๘ ครั้นครบกำหนด ๑๕ วัน โจทก์ก็มิได้เสียค่าขึ้นศาลเพิ่ม จำเลยจึงยื่นคำแถลงลงวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๑๘ ต่อศาลชั้นต้นขอให้ยกฟ้องหรือจำหน่ายคดีของโจทก์ ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๔(๒) จึงให้จำหน่ายคดีโจทก์จากสารบบความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๓๒(๑) วันที่ ๒ กันยายน ๒๕๑๘ ทนายโจทก์ยื่นคำแถลงว่า ตัวโจทก์ถึงแก่กรรมในวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๑๘ ที่ศาลนัดสืบพยานจำเลยไว้ในวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๑๘ การพิจารณาจำต้องเลื่อนไปจนกว่าทายาทของโจทก์จะได้ยื่นคำขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด ส่วนค่าขึ้นศาลเพิ่มจะได้จัดการเมื่อทายาทได้เข้ามาเป็นคู่ความแทนแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำแถลงนี้ว่า “รวม”
ต่อมาวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๑๘ ซึ่งเป็นวันนัดสืบพยานจำเลย นายพินิจ ปทุมรส ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องว่าเป็นสามีโจทก์ ขอเข้ารับมรดกความจากโจทก์ ผู้ร้องเพิ่งทราบว่าศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ แต่โจทก์ได้ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๑๘ ก่อนวันที่ศาลมีคำสั่ง และญาติพี่น้องของโจทก์อยู่ระหว่างเศร้าโศกและจัดการศพและปรึกษากันว่าจะให้ผู้ใดเป็นผู้รับมรดกความ มิได้มีเจตนาจะทิ้งฟ้องแต่ประการใดจึงขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดี นอกจากนี้การปฏิบัติตามคำสั่งศาลในเรื่องค่าธรรมเนียมก็ดี การแถลงของจำเลยลงวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๑๘ ก็ดีถือว่าเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑(๗) ย่อมกระทำไม่ได้ตามมาตรา ๔๒ เพราะปรากฏว่าโจทก์ได้ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๑๘ เสียก่อนแล้ว เมื่อศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเป็นผู้รับมรดกความแล้ว ข้อกำหนดใด ๆ ที่โจทก์เดิมจะต้องปฏิบัติ ผู้ร้องก็จะรับปฏิบัติต่อไป
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ปรากฏว่าโจทก์ไม่นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมมาวางศาลภายในกำหนดเวลาที่ศาลสั่ง ศาลจึงมีคำสั่งเมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๑๘ ว่าโจทก์ทิ้งฟ้องให้จำหน่ายคดีโจทก์จากสารบบความ ฉะนั้น ผู้ร้องซึ่งอ้างว่าเป็นสามีโจทก์มีความประสงค์ขอรับมรดกความและขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งให้จำหน่ายคดีเสียนั้น เห็นว่าตามคำร้องดังกล่าวยังไม่มีเหตุผลที่ศาลจะไต่สวนและมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมได้ ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่ง ขอให้เพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีโดยสั่งไต่สวนและมีคำสั่งให้ผู้ร้องเป็นคู่ความแทนโจทก์ผู้มรณะต่อไป
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๑๘ และจำเลยที่ ๑ ก็ทราบก่อนวันที่จำเลยยื่นคำแถลงลงวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๑๘ เพื่อขอให้ศาลยกฟ้องหรือมีคำสั่งจำหน่ายคดี โจทก์ถึงแก่กรรมภายหลังที่ศาลมีคำสั่งให้โจทก์นำเงินค่าขึ้นศาลมาเสียเพิ่มเพียง ๑ วัน ยังไม่พ้นกำหนดเวลา ๑๕ วันที่ศาลกำหนดไว้ เมื่อโจทก์ถึงแก่กรรมก็ไม่มีคู่ความฝ่ายใดแถลงให้ศาลทราบ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการที่โจทก์ถึงแก่กรรมไปก่อนครบกำหนดเวลาที่ศาลกำหนดให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มเช่นนี้ จะถือว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในกำหนดเวลาตามที่ศาลกำหนดไว้ยังไม่ได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีไปก็โดยไม่ทราบว่าขณะนั้นโจทก์ได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว ที่จำเลยแก้อุทธรณ์ว่านายพินิจผู้ร้องมิได้เป็นคู่ความไม่มีสิทธิ์อุทธรณ์นั้น เห็นว่านายพินิจเป็นสามีและเป็นทายาทของโจทก์ผู้มรณะที่ร้องขอเข้ามาแทนที่โจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๔๒ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ผู้ร้องย่อมมีสิทธิ์อุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๓ พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องลงวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๑๘ ของผู้ร้อง และคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้จำหน่ายคดีของโจทก์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการเรื่องที่ผู้ขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ตามคำร้องลงวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๑๘ แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามรูปคดีค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ปัญหาว่า คำสั่งจำหน่ายคดีของศาลชั้นต้น เพราะถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่๐อนายพินิจ ปทุมรส ผู้ร้องได้รับมอบฉันทะจากทนายโจทก์ให้มาฟังคำศาลและกำหนดวันพิจารณาในวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๑๘ ซึ่งเป็นวันนัดชี้สองสถานนั้นปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้สั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มภายในกำหนดเวลา ๑๕ วัน ซึ่งถือได้ว่าทนายโจทก์มิได้เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มตามคำสั่งของศาลชั้นต้นเลย จนกระทั่งจำเลยได้แถลงขอให้ศาลยกฟ้องหรือจำหน่ายคดี และศาลชั้นต้นก็ได้สั่งให้จำหน่ายคดีโจทก์จากสารบบความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๓๒(๑) ได้ความว่าตัวโจทก์ได้ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๑๘ ซึ่งเป็นเวลาภายหลังวันนัดชี้สองสถานเพียงวันเดียว แต่ทนายโจทก์ก็หาได้แจ้งให้ศาลทราบถึงความตายของตัวโจทก์และขอให้ศาลสั่งการใหม่เกี่ยวกับเรื่องค่าขึ้นศาลที่สั่งไว้เดิมภายในกำหนด ๑๕ วันนั้นแต่ประการใดไม่ แม้นายพินิจ ปทุมรส จะอ้างว่าต้องยุ่งอยู่กับการจัดการศพภริยา แต่ก็น่าจะมีเวลาพอที่จะติดต่อกับทนายโจทก์ให้ดำเนินการดังกล่าวได้การที่ทนายโจทก์มิได้ดำเนินการดังกล่าวให้ศาลทราบ จึงเป็นความผิดของฝ่ายโจทก์เอง ฉะนั้น การที่ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีของโจทก์ จึงชอบด้วยกระบวนวิธีพิจารณาความแล้วศาลฎีกาเห็นว่าคำสั่งจำหน่ายคดีของศาลชั้นต้นชอบแล้ว
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำสั่งของศาลชั้นต้น.