คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7539/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นหนี้โจทก์ผู้รับจำนองที่ดินจำนวน 10 แปลง พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยตามคำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่ง เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ดังกล่าวโจทก์ได้ขอศาลออกหมายบังคับคดียึดทรัพย์จำนองของจำเลยออกขายทอดตลาดไปแล้ว จำนวน 8 แปลง และมีการไถ่ถอนที่ดินทรัพย์จำนองของจำเลยอีกจำนวน 2 แปลง สัญญาจำนองจึงเป็นอันระงับสิ้นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 744 เมื่อโจทก์นำหนี้ดังกล่าวที่ยังค้างชำระมายื่นฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายภายหลังจากสิทธิตามสัญญาจำนองของโจทก์ระงับสิ้นไปแล้ว โจทก์จึงมิใช่เจ้าหนี้มีประกันผู้มีสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้ในทางจำนองในขณะยื่นฟ้องคดีล้มละลายที่จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในมาตรา 10 (2) แห่ง พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลล้มละลายกลางพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์มีเพียงว่าโจทก์ฟ้องคดีโดยต้องปฏิบัติตามมาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 หรือไม่ โจทก์อุทธรณ์ว่า ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้โจทก์จำนวน 10 แปลง ได้มีการขายทอดตลาดและไถ่ถอนจำนองไปแล้วก่อนฟ้อง โจทก์จึงมิใช่เจ้าหนี้มีประกันตามที่ศาลล้มละลายกลางมีคำวินิจฉัยมานั้น เห็นว่า ตามสำเนาบัญชีแสดงรายการรับจ่ายเงินครั้งที่ 1 และที่ 2 สำเนาประกาศขายทอดตลาด และหนังสือขอไถ่ถอนที่ดิน ปรากฏข้อเท็จจริงว่าทรัพย์จำนองของจำเลยที่ดินโฉนดเลขที่ 189 และ 402 ตำบลปากพนัง อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช และที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 1399 ตำบลหูล่อง อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมสิ่งปลูกสร้าง เจ้าพนักงานบังคับคดีนำออกขายทอดตลาดแล้วเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2544 และวันที่ 23 พฤศจิกายน 2544 ที่ดินโฉนดเลขที่ 1349 และ 1350 ตำบลปากพนัง อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมสิ่งปลูกสร้าง มีการถอนการยึดและนางสาวชุมสายน้องสาวของจำเลยได้ไถ่ถอนจำนองไปแล้วในราคา 375,200 บาท เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2546 ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 188, 403, 820 และ 821 และ น.ส.3 ก. เลขที่ 1352 ตำบลปากพนัง อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช เจ้าพนักงานบังคับคดีได้นำออกขายทอดตลาดโดยปลอดจำนองแล้วเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2547 สัญญาจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวจึงเป็นอันระงับสิ้นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 744 โจทก์ยื่นฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2547 ภายหลังจากสิทธิตามสัญญาจำนองดังกล่าวระงับสิ้นไปแล้ว โจทก์จึงมิใช่เจ้าหนี้มีประกันผู้มีสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้ในทางจำนองในขณะยื่นฟ้องคดีล้มละลายที่จะต้องปฏิบัติตามมาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 ที่ศาลล้มละลายกลางเห็นว่าโจทก์เป็นเจ้าหนี้มีประกันที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าวมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาอุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น ส่วนปัญหาว่าจำเลยมีหนี้สินล้มพ้นตัวหรือมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้ล้มละลายหรือไม่นั้น แม้ศาลล้มละลายกลางยังไม่ได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัยแต่เมื่อพยานหลักฐานต่าง ๆ ในสำนวนเพียงพอแก่การวินิจฉัยแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวไปเสียทีเดียวโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลล้มละลายกลางวินิจฉัยก่อน และข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นแล้วว่า จำเลยได้ถูกยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดแล้วตามหมายบังคับคดีกรณีต้องด้วยข้อสันนิษฐานตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8 (5) ว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว จำเลยมีหน้าที่นำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว โดยทางนำสืบของจำเลยกล่าวอ้างว่า ทรัพย์สินที่ดินของจำเลยจำนวน 10 แปลง ที่จดทะเบียนจำนองไว้กับโจทก์มีราคามากกว่าหนี้ตามฟ้องนั้น ปรากฏข้อเท็จจริงแล้วว่าภายหลังจากมีการขายทอดตลาดและไถ่ถอนจำนองที่ดินทั้งสิบแปลงดังกล่าว จำเลยยังคงมียอดหนี้ค้างชำระโจทก์ ณ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2547 จำนวน 11,699,789.91 บาท ตามสำเนาบัญชีแสดงรายการรับจ่ายเงินครั้งที่ 2 ส่วนทรัพย์สินอื่นของจำเลยปรากฏเพียงว่าจำเลยซึ่งประกอบอาชีพรับเหมาก่อสร้างมีงานรับเหมาก่อสร้างอาคาร 7 ชั้น จากนายสุนิตย์ ผู้ว่าจ้าง ตามสำเนาสัญญาจ้างซึ่งกล่าวอ้างว่าเมื่องานเสร็จจะมีกำไรประมาณ 1,000,000 บาท ก็ไม่เพียงพอ ชำระหนี้แก่โจทก์แต่ประการใด ทางนำสืบของจำเลยไม่อาจนำมารับฟังหักล้างข้อสันนิษฐานตามกฎหมายได้ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว และไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย ที่ศาลล้มละลายกลางพิพากษายกฟ้องมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์โดยหักจากกองทรัพย์สินของจำเลย เฉพาะค่าทนายความให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควร.

Share