คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3643/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หนังสือสัญญากู้เงินที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ มีข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยในหนังสือสัญญากู้เงินระบุ ความว่า ผู้กู้ยินยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่ผู้ให้กู้เป็นรายเดือนสำหรับเงินกู้ตามสัญญานี้ในอัตราในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี หรือตามอัตราดอกเบี้ยใหม่ซึ่งผู้ให้กู้อาจเปลี่ยนแปลงสูงขึ้นหรือต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ข้างต้นนี้และผู้กู้ ยินยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่ผู้ให้กู้ในอัตราดอกเบี้ยใหม่ตามประกาศของธนาคาร ฯ สัญญาข้อนี้เป็นข้อตกลงให้โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยได้ในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ในระหว่างสัญญาโดยอนุวัตตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องการกำหนดสถาบันการเงินและอัตราดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินอาจคิดได้จากผู้กู้ยืม (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2535 ที่กำหนดให้ธนาคารโจทก์เรียกดอกเบี้ยจากผู้กู้ยืมได้ในอัตราสูงสุดไม่เกินร้อยละ 19 ต่อปี โดยไม่มีข้อกำหนดให้ต้องประกาศกำหนดอัตราดอกเบี้ยแต่ประการใด อัตราดอกเบี้ยตามที่โจทก์และจำเลยตกลงกันตามหนังสือสัญญากู้เงินไม่เกินกว่าอัตราดอกเบี้ยที่โจทก์มีสิทธิคิดจากจำเลยได้ตามประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าว การทำสัญญากู้ยืมเงินของโจทก์และจำเลยเป็นไปตามเจตนาของคู่สัญญาและอยู่ในกรอบที่ประกาศกระทรวงการคลังกำหนด จึงไม่ตกเป็นโมฆะ และแม้ขณะทำสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวจะมีประกาศของโจทก์เรื่องอัตราดอกเบี้ยเงินกู้กำหนดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 14 ต่อปี ต่ำกว่าอัตราที่ระบุไว้ในหนังสือสัญญากู้เงินซึ่งโจทก์จะคิดดอกเบี้ยจากจำเลยเกินกว่าประกาศของโจทก์ไม่ได้ก็ตาม ก็ได้ความว่าในทางปฏิบัติจริง โจทก์คิดดอกเบี้ยและปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยอยู่ภายในกรอบแห่งประกาศธนาคารโจทก์ การคิดดอกเบี้ยของโจทก์จึงไม่ขัดต่อกฎหมายและมีผลบังคับกันได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงิน 192,200.11 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13.5 ต่อปี จากต้นเงิน 171,965.12 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้หรือ ชำระไม่ครบถ้วน ให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 173,338.11 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 171,965.12 บาท นับแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2546 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 13173 พร้อมสิ่งปลูกสร้างขายทอดตลาดชำระหนี้ หากบังคับจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ จนครบถ้วน กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตาม ทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองกู้เงินจากโจทก์ 200,000 บาท ตกลงยอมเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปีหรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่โจทก์อาจเปลี่ยนแปลงสูงขึ้นหรือต่ำกว่าอัตราที่กำหนดไว้ดังกล่าวตามประกาศของโจทก์โดยไม่จำต้องแจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบล่วงหน้า โดยจะผ่อนชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยไม่ต่ำกว่าเดือนละ 2,600 บาท ทุกวันที่ทำสัญญาของทุกเดือน นับตั้งแต่เดือนถัดจากเดือนที่ทำสัญญาเป็นต้นไปและจะชำระหนี้ให้เสร็จภายใน 19 ปี นับแต่วันทำสัญญา ต่อมาจำเลยทั้งสองผิดนัดชำระหนี้ ในขณะทำสัญญากู้เงินโจทก์ประกาศกำหนดอัตราดอกเบี้ยสำหรับเงินกู้ไว้ในอัตราที่ต่ำกว่าร้อยละ 19 ต่อปี คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์เพียงประการเดียวว่า ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ตามที่ระบุไว้ในสัญญากู้เงินตกเป็นโมฆะเนื่องจากเกินกว่า อัตราดอกเบี้ยตามประกาศของโจทก์หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามหนังสือสัญญากู้เงิน ที่จำเลยทำไว้ กับโจทก์ ซึ่งข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยในหนังสือสัญญากู้เงินดังกล่าวข้อ 1 ระบุความว่า ผู้กู้ยินยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่ผู้ให้กู้เป็นรายเดือนสำหรับเงินกู้ตามสัญญานี้ในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี หรือตามอัตราดอกเบี้ยใหม่ซึ่งผู้ให้กู้ อาจเปลี่ยนแปลงสูงขึ้นหรือต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ข้างต้นนี้และผู้กู้ยินยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่ผู้ให้กู้ใน อัตราดอกเบี้ยใหม่ตามประกาศของธนาคารฯ สัญญาข้อนี้เป็นข้อตกลงให้โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยได้ในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ในระหว่างสัญญาโดยอนุวัตตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องการกำหนดสถาบันการเงินและอัตราดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินอาจคิดได้จากผู้กู้ยืม (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2535 ที่กำหนดให้ธนาคารโจทก์เรียกดอกเบี้ยจาก ผู้กู้ยืมได้ในอัตราสูงสุดไม่เกินร้อยละ 19 ต่อปี โดยไม่มีข้อกำหนดให้ต้องประกาศกำหนดอัตราดอกเบี้ยแต่ประการใด อัตราดอกเบี้ยตามที่โจทก์และจำเลยตกลงกันตามหนังสือสัญญากู้เงินไม่เกินกว่าอัตราดอกเบี้ยที่โจทก์มีสิทธิคิดจากจำเลยได้ตามประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าว การทำสัญญากู้ยืมเงินของโจทก์และจำเลยเป็นไปตามเจตนาของ คู่สัญญาและอยู่ในกรอบที่ประกาศกระทรวงการคลังกำหนด จึงไม่ตกเป็นโมฆะ และแม้ขณะทำสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าว จะมีประกาศของโจทก์เรื่องอัตราดอกเบี้ยเงินกู้กำหนดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 14 ต่อปี ต่ำกว่าอัตราที่ระบุไว้ในหนังสือสัญญากู้เงินซึ่งโจทก์จะคิดดอกเบี้ยจากจำเลยเกินกว่าประกาศของโจทก์ไม่ได้ก็ตามก็ได้ความว่าในทางปฏิบัติจริง โจทก์คิดดอกเบี้ย และปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยอยู่ภายในกรอบแห่งประกาศธนาคารโจทก์ การคิดดอกเบี้ยของโจทก์จึงไม่ขัดต่อกฎหมายและมีผลบังคับกันได้ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์กำหนดอัตราดอกเบี้ยตามสัญญาสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยตามประกาศธนาคารโจทก์เป็นการไม่ชอบ จึงเป็นโมฆะและกำหนดดอกเบี้ยใหม่เป็นอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 192,200.11 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13.5 ต่อปี ของต้นเงิน 171,965.12 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 28 พฤศจิกายน 2546) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ.

Share