แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยนำถุงพลาสติกบรรจุน้ำมันเบนซินไปวางบนแคร่หน้าบ้านผู้เสียหายที่ 2 จากนั้นจำเลยก็บุกรุกเข้าบ้านผู้เสียหายที่ 1 และทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 1 แล้วรีบหลบหนีออกจากบ้านผู้เสียหายที่ 1 ไปโดยไม่ได้สนใจถุงน้ำมันเบนซินดังกล่าวอีก แม้ขณะทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 จำเลยจะกล่าวขึ้นว่า “โกหกกู จะฆ่าและเผาให้หมด” แต่จำเลยก็มิได้แสดงอาการจะฆ่าผู้เสียหายที่ 1 ทั้ง ๆ ที่ผู้เสียหายที่ 1 เป็นผู้หญิงอยู่คนเดียว ซึ่งจำเลยอาจกระทำการฆ่าได้โดยง่าย และทั้งจำเลยก็มิได้กลับไปเปิดถุงพลาสติกเอาน้ำมันเบนซินราดหน้าบ้านผู้เสียหายที่ 2 เพื่อจุดไฟเผาดังพูด พฤติการณ์ชี้ให้เห็นว่าจำเลยหาได้มีเจตนาจะกระทำการฆ่าหรือเผาตามที่กล่าวขึ้นไม่ การกระทำของจำเลยจึงยังไม่เป็นความผิดฐานตระเตรียมเพื่อวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 33, 91, 218, 219, 295, 364, 365 ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่ในระหว่างสืบพยานโจทก์ จำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพข้อหาบุกรุกและทำร้ายร่างกาย ส่วนข้อหาตระเตรียมเพื่อวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่นให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 218 (1), 219, 295, 365 (1) (3) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตาม ป.อ. มาตรา 91 ฐานตระเตรียมเพื่อวางเพลิงเผาทรัพย์ จำคุก 3 ปี 4 เดือน ฐานบุกรุกและทำร้ายร่างกาย ให้ลงโทษฐานบุกรุกอันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตาม ป.อ. มาตรา 90 จำคุก 1 ปี คำรับสารภาพของจำเลยฐานนี้เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษในความผิดฐานนี้ลงหนึ่งในสาม ตาม ป.อ. มาตรา 78 คงจำคุกฐานบุกรุก 8 เดือน รวมจำคุก 3 ปี 12 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 295, 365 (1) (3) (ที่ถูกต้องประกอบมาตรา 364) เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 365 (1) (3) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักสุด ตาม ป.อ. มาตรา 90 จำคุก 1 ปี ปรับ 6,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพหลังจากสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้ว เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตาม ป.อ. มาตรา 78 คงจำคุก 8 เดือน ปรับ 4,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ให้จำเลยรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 3 เดือนต่อครั้ง เป็นเวลา 2 ปี และให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรเป็นเวลา 20 ชั่วโมง ตาม ป.อ. มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตาม ป.อ. มาตรา 29, 30 ให้คืนของกลางแก่เจ้าของ ส่วนข้อหาอื่นและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ฎีกาโต้เถียงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยนำถุงพลาสติกบรรจุน้ำมันเบนซินประมาณ 1.5 ลิตร ไปวางไว้ที่แคร่ไม้หน้าบ้านผู้เสียหายที่ 2 แล้วบุกรุกเข้าไปในบ้านผู้เสียหายที่ 1 และทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 จนผู้เสียหายที่ 1 ได้รับอันตรายแก่กาย หลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจยึดถุงน้ำมันเบนซินดังกล่าวกับไฟแช็กแก๊ส 1 อัน เป็นของกลาง มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานตระเตรียมเพื่อวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่นตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานโจทก์รับฟังได้ว่า เมื่อจำเลยนำถุงพลาสติกบรรจุน้ำมันเบนซินไปวางบนแคร่หน้าบ้านผู้เสียหายที่ 2 จากนั้นจำเลยก็บุกรุกเข้าบ้านผู้เสียหายที่ 1 และทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 1 แล้วรีบหลบหนีออกจากบ้านผู้เสียหายที่ 1 ไปโดยไม่ได้สนใจถุงน้ำมันเบนซินดังกล่าวอีก เช่นนี้ แม้ขณะทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 จำเลยจะกล่าวขึ้นว่า “โกหกกู จะฆ่าและเผาให้หมด” แต่จำเลยก็มิได้แสดงอาการจะฆ่าผู้เสียหายที่ 1 ทั้ง ๆ ที่ผู้เสียหายที่ 1 เป็นผู้หญิงอยู่คนเดียว ซึ่งจำเลยอาจกระทำการฆ่าได้โดยง่ายและทั้งจำเลยก็มิได้กลับไปเปิดถุงพลาสติกเอาน้ำมันเบนซินราดหน้าบ้านผู้เสียหายที่ 2 เพื่อจุดไฟเผาดังพูด พฤติการณ์ชี้ให้เห็นว่า จำเลยหาได้มีเจตนาจะกระทำการฆ่าหรือเผาตามที่กล่าวขึ้นไม่ การกระทำของจำเลยจึงยังไม่เป็นความผิดฐานตระเตรียมเพื่อวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่นตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.