แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยจับข้อมือพาผู้เสียหายที่ไปหาเพื่อนใกล้กับบ้านจำเลย โดยจำเลยบอกผู้เสียหายว่าจะพาไปส่งบ้านผู้เสียหายซึ่งอยู่ห่างบ้านจำเลย 50 ถึง 80 เมตร ขณะเกิดเหตุเป็นเวลา 19 นาฬิกา เริ่มจะค่ำมืดแล้ว และผู้เสียหายเป็นเด็กหญิงอายุเพียง 10 ปีเศษ จำเลยเห็นโอกาสที่ไม่มีผู้ใดพบเห็นขณะที่จำเลยพบผู้เสียหายและสามารถจะพาผู้เสียหายไปตามลำพังได้ จึงเกิดเถยจิตมีเจตนาที่จะกระทำชำเราผู้เสียหามาแต่แรกเป็นสำคัญจึงพาไปยังบ้านร้าง และได้กระทำชำเราผู้เสียหายในบ้านร้างดังกล่าว การพาไปและการกระทำชำเราได้กระทำต่อเนื่องเชื่อมโยงแต่วาระเดียวกันไม่ขาดตอน การกระทำของจำเลยซึ่งเป็นความผิดฐานพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจารและกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปี จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท มิใช่เป็นความผิดหลายกรรม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 277, 283 ทวิ
จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร แต่ปฏิเสธข้อหากระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปี
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคสอง, 283 ทวิ วรรคสอง การกระทำเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตาม ป.อ. มาตรา 91 ฐานข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปี จำคุก 10 ปี ฐานพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าไปเพื่อการอนาจาร จำคุก 2 ปี คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้หนึ่งในสามฐานข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปี ส่วนฐานพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร จำเลยให้การรับสารภาพมาตั้งแต่ต้นเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 78 ฐานข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปีคงจำคุก 6 ปี 8 เดือนฐานพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีเพื่อการอนาจารคงจำคุก 1 ปี รวมจำคุก 7 ปี 8 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจารและฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปีเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปี ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดแต่บทเดียวตาม ป.อ. มาตรา 90 จำคุก 10 ปี เมื่อลดโทษให้หนึ่งในสามตาม ป.อ. มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า การที่จำเลยใช้มือซ้ายจับข้อมือของผู้เสียหาย ส่วนมือขวาของจำเลยจูงรถจักรยานพาผู้เสียหายเดินไปที่บ้านของนายมง ใช้เวลาเดินนานประมาณ 40 นาที ซึ่งถือว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจารสำเร็จลงแล้ว และเมื่อถึงบ้านของนางมง จำเลยพาผู้เสียหายเข้าไปในบ้านแล้วกอดจูบผู้เสียหายทันที ก่อนที่จะได้ข่มขืนกระทำชำเราต่อไป การกระทำของจำเลยแสดงให้เห็นว่าจำเลยเพิ่งมีเจตนาจะกระทำชำเราผู้เสียหายเกิดขึ้นภายหลังจากการพาผู้เสียหายไประยะหนึ่งแล้วนั้น เห็นว่า ได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหาย ประกอบแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุและบันทึกบรรยายภาพถ่ายที่จำเลยนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพว่า บ้านนายมงที่เกิดเหตุข่มขืนกระทำชำเราห่างจากบ้านจำเลยเพียง 50 ถึง 80 เมตร เป็นไปไม่ได้ที่จะใช้เวลาเดินนานถึง 40 นาที ขณะเกิดเหตุเป็นเวลา 19 นาฬิกา เริ่มจะค่ำมืดแล้ว ผู้เสียหายเป็นเด็กหญิงอายุเพียง 10 ปีเศษ จำเลยเห็นโอกาสที่ไม่มีผู้ใดพบเห็นขณะที่จำเลยพบผู้เสียหายและสามารถจะพาผู้เสียหายไปตามลำพังได้ จึงเกิดเถยจิตมีเจตนาที่จะกระทำชำเราผู้เสียหายมาแต่แรกเป็นสำคัญจึงพาไปยังบ้านร้างของนายมงและได้กระทำชำเราผู้เสียหายในบ้านร้างดังกล่าว การพาไปและการกระทำชำเราได้กระทำต่อเนื่องเชื่อมโยงแต่วาระเดียวกันไม่ขาดตอน จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท มิใช่เป็นความผิดหลายกรรมดังฎีกาโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.