คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2662/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อตกลงที่ผู้รับซื้อฝากยินยอมที่จะขายทรัพย์คืนให้แก่ ผู้ขายฝากเมื่อทรัพย์ที่ขายฝากได้หลุดเป็นสิทธิของ ผู้รับซื้อฝากแล้ว เข้าลักษณะเป็นคำมั่นจะขายทรัพย์ซึ่ง บังคับกันได้ มิใช่เป็นการขยายเวลาไถ่ทรัพย์อันต้องห้าม ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๙๖.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้ขายฝากที่ดินและบ้านแก่โจทก์ กำหนด ไถ่ถอนภายใน ๑ ปี เมื่อครบกำหนดแล้วมิได้ไถ่ถอน และคงอยู่อาศัย ในทรัพย์สินดังกล่าวโจทก์แจ้งให้ออกไปจำเลยเพิกเฉย จึงขอให้ บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและบ้านดังกล่าว ห้าม เกี่ยวข้องอีกต่อไป
จำเลยให้การว่าได้ขายฝากที่ดินและบ้านให้โจทก์จริง แต่ เมื่อล่วงเลยระยะเวลาไถ่ถอนแล้ว โจทก์ได้ยินยอมให้จำเลยไถ่ถอน ที่ดินและบ้านได้ในภายหลังจำเลยกำลังหาเงินไปไถ่ถอน ขอให้ ยกฟ้อง
ในวันนัดชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยาน พิพากษาขับไล่ จำเลยและบริวารออกไปจากทรัพย์พิพาท และส่งมอบคืนแก่โจทก์ใน สภาพเรียบร้อย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณา และพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หากคดีพิจารณาได้ความจริงตามคำให้การของ จำเลยแล้ว ข้อตกลงดังกล่าวอาจเข้าลักษณะเป็นคำมั่นจะขาย ทรัพย์ซึ่งบังคับกันได้เพราะการที่ผู้รับซื้อฝากยินยอมที่ จะขายทรัพย์คืนให้แก่ผู้ขายฝาก เมื่อทรัพย์ที่ขายฝากได้ หลุดเป็นสิทธิของผู้รับซื้อฝากแล้วมิใช่เป็นการขยายเวลา ไถ่ทรัพย์อันต้องห้ามตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๙๖ ดังนั้นจึงควรได้สืบพยานฟังข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ต่อไป
พิพากษายืน.

Share