คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 149/2463

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้กรรมการตรวจฎีกาโจทก์ อุทธรณ์คำพิพากาาศาลอุทธรณ์ข้าหลวงพิเศษ

ย่อยาว

โจทย์ฟ้องว่าเมื่อประมาณ ๖ ปีก่อนเกิดคดีนี้ จำเลยจัดตั้งนายกองนาไปประกาศกับราษฎรว่า ที่ป่าพงตำบลระแหงอำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดประทุมธานี จำเลยได้เปนผู้จับจองไว้ ถ้าใครมีความประสงค์อยากได้ที่ก็ให้เข้าทำจนเปนนาฟางเมื่อครบ ๓ ปีจำเลยจะขายมห้ไร่ละ ๓ บาท ฤาถ้ายังไม่มีเงินพอจะซื้อก็ให้คิดค่าเช่าไปพลางก่อน โจทย์ได้ตกลงรับสัญญากับนายกองนาของจำเลย แลลงทุนลงแรงทำเนื้อที่ ๑๐๐ ไร่ คิดค่าลงทุดลงแรงฤาราคานาเปนเงิน ๑๐๐๐ บาท ได้ทำครบ ๓ ปี จนที่เตียนเปนนาฟาง บัดนี้จำเลยไม่ยอมขายให้ตามสัญญา แลโจทย์ทราบว่าจำเลยไม่มีสิทธิในที่ ๆ กล่าวนั้นเลยโจทย์จึงฟ้องขอให้ศาลพิพากษาตามคำขอดังนี้ (๑)ให้แสดงว่าสัญญาระหว่างโจทย์กับจำเลยเปนสัญญาที่เสียใช้ไม่ได้ต่อไป ให้ที่รายนี้เปนสิทธิแก่โจทย์ฝ่ายเดียว (๒) ถ้าจำเลยมีหลักฐานแสดงว่า จำเลยมีสิทธิเปนเจ้าของที่รายนี้แล้ว ขอให้บังคับจำเลยโอนขายให้แก่โจทย์เปนราคา ๑๐๐ ไร่ต่อ ๓๐๐ บาท (๓) ถ้าศาลจะบังคับให้จำเลยโอนขายให้โจทย์ไม่ได้ ก็ให้จำเลยใช้ค่าลงทุนลงแรงฤาราคานาให้โจทย์ ๑๐๐๐ บาทฯ
จำเลยให้การปฏิเสธว่า จำเลยไม่ได้ตั้งให้นายกองนาของจำเลยไปประกาศ ต่อราษฎรฤาสัญญากับโจทย์ดังฟ้อง ความจริงโจทย์ได้เป็นผู้เช่านาของจำเลยทำ มีหนังสือสัญญาเช่าเปนหลักฐาน โจทย์ได้เคยไปพูดขอซื้อนาของจำเลย ๑๐๐ ไร่ จะให้ราคา ๕๐๐ บาท จำเลยยังไม่ตกลงขาย ฯ
ศาลจังหวัดประทุมธานีพิจารณาพิพากษาให้จำเลยทำหนังสือสัญญาขายที่นา ๑๐๐ ไร่ให้โจทย์เปนราคา ๓๐๐ บาท ถ้าจำเลยไม่ยอมขายก็ให้จำเลยใช้ค่าทนุค่าแรงให้โจทย์เปนเงิน ๕๐๐ บาท แลให้จำเลยเสีนค่าธรรมเนียมค่าทนาย ๒๕ บาท แทนโจทย์ ฯ
โจกย์จำเลยอุทธรณ ศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษพิพากษากลับคำพิพากษาศาลเดิม แลยกฟ้องโจทย์เสีย ให้โจทย์เสียค่าธรรมเนียมค่าทนาย ๕๐ บาทแทนจำเลย ฯ
โจทย์ทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกา ฯ
กรรมการศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนแลประชุมปฤกษาคดีนี้เห็นว่าฟ้องของโจทย์กล่าวข้อความแลมีคำขอขัดกันเอง จึงเปนการไม่แน่นอนว่าโจทย์จำว่าความไปทางใด กรรมการศาลฎีกาจะได้พิจารณาวินิจฉัยคำขอของโจทย์เปนข้อ ๆ ไป คือ (๑) ที่ โจทย์ขอให้ทำลายสัญญานั้น โจทย์ก็ไม่ได้อ้างเหตุผลว่าจะทำลายด้วยเหตุใด แต่ความข้อนี้จำเลยปฏิเสธว่าไม่มีสัญญาต่อกัน จึงไม่ต้องวินิจฉัยชี้ขาด ส่วนในคำขอข้อ ๑ ตอนท้ายที่โจทย์ขอให้ศาลพิพากษาให้ที่เปนของโจทย์นั้น โจทย์ก็มิได้แสดงหลักฐานว่าโจทย์มีกรรมสิทธิเปนเจ้าของที่รายนี้ได้อย่างไร คดีคงได้ความแต่ว่า โจทย์ได้เข้าทำเนที่รายนี้โดยคนของจำเลยจัดให้เข้าทำ แลโดยโจทย์ได้ทำสัญญาเช่าต่อจำเลย ซึ่งโจทย์ก็รับอยู่ว่าได้ทำสัญญาเช่าที่ของจำเลยจริง ทั้งจำเลยมีพยานสืบปรากฎว่า ก่อนที่ให้โจทย์เข้าทำในที่รายนี้ได้มีผู้อื่นเช่าทำเปนที่เตียนอยู่บ้างแล้ว ดังนี้โจทย์ไม่มีทางที่จะอ้างเอาสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดในที่รายนี้จากการที่ได้เข้าทำมา จะพิพากษาให้ตามคำขอโจทย์ในข้อนี้มิได้ ฯ
ส่วนคำขอโจทย์ในข้อ ๒ ที่โจทย์ขอให้บังคับจำเลยประพฤติตามสัญญาที่โจทย์อ้างนั้น โจทย์จะชนะความในข้อนี้ได้ก็ต้องอาศรัยข้อเท็จจริงที่โจทย์จะต้องสืบให้สมว่า โจทย์ได้ตกลงสัญญากับนายกองนาของจำเลย ซึ่งจำเลยได้มอบหมายให้อำนาจทำความตกลงตามที่โจทย์กล่าว นายกองนาที่โจทย์อ้างว่าได้ตกลงสัญญากับโจทย์นั้น คือ นายทองดี ซึ่งเมื่อมาเบิกความเปนพยานมีบรรดาศักดิ์เปนหลวงธนากรประดิษฐ์ ตัวโจทย์เบิกความเปนพยานว่า นายทองดีผู้นี้เปนนายกองนาของจำเลย แลได้ตกลงกับโจทย์ได้ทำสัญญาเปนหนังสือ มีข้อสัญญาตามที่โจทย์ฟ้อง หนังสือสัญญานั้นนายทองดีเปนผู้เก็บไว้ แลบอกว่าเวลานี้หายฤาปลวกกินเสียแล้ว แต่หลวงธนากรประดิษฐ์ (ทองดี) มาเบิกความเปนพยานโจทย์ไม่ปรากฎว่าได้เปนนายกองนาจำเลย เปนแต่กล่าวว่าจำเลยได้บอกขอฝากที่นาของจำเลยกับพยานย แลให้ช่วยชักชวนราษฎรเข้าทำ ทั้งอ้างต่อไปว่าจำเลยได้กล่าวว่า เมื่อใครทำครบ ๓ ปีจะขายให้เปนราคานา ๑๐๐ ไร่ต่อ ๓๐๐ บาท แต่พยานปฏิเสธว่าถ้าเมื่อพ้น ๓ ปีแล้วไม่มีเงินซื้อไม่มีข้อสัญญากล่าวถึงแลพยานเบิกความว่าข้อตกลงนั้นไม่ได้ทำเป็นหนังสือ เปนแต่พูดกันด้วยปาก นอกจากนี้พยานอื่นของโจทย์ก็เปนแต่เบิกความรัว ๆ ฝ่ายจำเลยอ้างตัวเองเปนพยานปฏิเสธว่าไม่ได้เคยมอบอำนาจให้ใครไปตกลงกับโจทย์ดังโจทย์อ้าง นายกองนาของจำเลยชื่อนายจงซึ่งได้มาเบิกความประกอบสมจำเลยว่าโจทย์เปนแต่ผู้เช่านาของจำเลย ได้ทำหนังสือสัญญาเช่าต่อกันเปนหลักฐานดังปรากฎตามหนังสือเช่า ๕ ฉบัพ ซึ่งได้ทำในพระพุทธศักราช ๒๔๕๖ – ๒๔๕๗ – ๒๔๕๘ – ๒๔๕๙ แล ๒๔๖๐ ตามหลักฐานพยานทั้ง ๒ ฝ่ายที่กล่าวมานี้ เห็นว่าหลักฐานของโจทย์เองก็ยังอ่อนอยู่มาก ทั้งคำพยานก็แตกต่างแลขัดกัน เมื่อจำเลยมีหลักฐานหักล้างสมข้อต่อสู้ดังกล่าวมาแล้ว คดีโจทย์ก็ฟังไม่ได้ทีเดียว จึงเห็นพร้อมกันว่าคำขอโจทย์ในข้อ ๒ นี้ ตกไปอีกฯ
ส่วนคำขอในข้อ ๓ เมื่อจำเลยมีหลักฐานฟังได้ว่า โจทย์ได้เช่านาของจำเลยทำดังนั้นแล้ว ก็ไม่มีทางที่โจทย์จะเรียกร้องเอาค่าลงทุนลงแรงจากจำเลย เพราะการที่โจทย์ทำก็ได้ผลอยู่แล้ว แลจำเลยก็ไม่ได้ทำให้โจทย์หลงเข้าใจผิดอย่างใด โจทย์จะเข้าทำก็ได้เห็นแลทราบอยู่ว่าที่ดินเวลานั้นเปนอย่างไรที่โจทย์จะมาร้องในเวลานี้ไม่ควรฟัง ฯ
รวมความตามฟ้องโจทย์ที่มีคำขอทั้ง ๓ ประการ โจทย์ไม่มีทางที่จะชนะคดีได้ เพราะฉนั้นที่ศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษพิพากษาให้ยกฟ้องโจทย์เสียนั้นเปนอันถูกต้องแล้ว ให้ยกฎีกาโจทย์เสีย ให้โจทย์เสียค่าทนายชั้นฎกาแทนจำเลย ๕๐ บาท ฯ
วันที่ ๑ กรกฎาคม พระพุทธศักราช ๒๔๖๓

Share