แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้กรรมการตรวจฎีกาโจทก์ อุทธรณ์คำพิพากาาศาลอุทธรณ์ข้าหลวงพิเศษ
ย่อยาว
โจทย์ฟ้องว่าเมื่อประมาณ ๖ ปีก่อนเกิดคดีนี้  จำเลยจัดตั้งนายกองนาไปประกาศกับราษฎรว่า  ที่ป่าพงตำบลระแหงอำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดประทุมธานี  จำเลยได้เปนผู้จับจองไว้  ถ้าใครมีความประสงค์อยากได้ที่ก็ให้เข้าทำจนเปนนาฟางเมื่อครบ ๓ ปีจำเลยจะขายมห้ไร่ละ ๓ บาท  ฤาถ้ายังไม่มีเงินพอจะซื้อก็ให้คิดค่าเช่าไปพลางก่อน โจทย์ได้ตกลงรับสัญญากับนายกองนาของจำเลย  แลลงทุนลงแรงทำเนื้อที่ ๑๐๐ ไร่ คิดค่าลงทุดลงแรงฤาราคานาเปนเงิน ๑๐๐๐ บาท ได้ทำครบ ๓ ปี  จนที่เตียนเปนนาฟาง  บัดนี้จำเลยไม่ยอมขายให้ตามสัญญา แลโจทย์ทราบว่าจำเลยไม่มีสิทธิในที่ ๆ กล่าวนั้นเลยโจทย์จึงฟ้องขอให้ศาลพิพากษาตามคำขอดังนี้  (๑)ให้แสดงว่าสัญญาระหว่างโจทย์กับจำเลยเปนสัญญาที่เสียใช้ไม่ได้ต่อไป  ให้ที่รายนี้เปนสิทธิแก่โจทย์ฝ่ายเดียว  (๒) ถ้าจำเลยมีหลักฐานแสดงว่า  จำเลยมีสิทธิเปนเจ้าของที่รายนี้แล้ว  ขอให้บังคับจำเลยโอนขายให้แก่โจทย์เปนราคา ๑๐๐ ไร่ต่อ ๓๐๐ บาท (๓) ถ้าศาลจะบังคับให้จำเลยโอนขายให้โจทย์ไม่ได้  ก็ให้จำเลยใช้ค่าลงทุนลงแรงฤาราคานาให้โจทย์ ๑๐๐๐ บาทฯ
จำเลยให้การปฏิเสธว่า  จำเลยไม่ได้ตั้งให้นายกองนาของจำเลยไปประกาศ ต่อราษฎรฤาสัญญากับโจทย์ดังฟ้อง  ความจริงโจทย์ได้เป็นผู้เช่านาของจำเลยทำ  มีหนังสือสัญญาเช่าเปนหลักฐาน  โจทย์ได้เคยไปพูดขอซื้อนาของจำเลย ๑๐๐ ไร่ จะให้ราคา ๕๐๐ บาท จำเลยยังไม่ตกลงขาย ฯ
ศาลจังหวัดประทุมธานีพิจารณาพิพากษาให้จำเลยทำหนังสือสัญญาขายที่นา ๑๐๐ ไร่ให้โจทย์เปนราคา ๓๐๐ บาท ถ้าจำเลยไม่ยอมขายก็ให้จำเลยใช้ค่าทนุค่าแรงให้โจทย์เปนเงิน ๕๐๐ บาท  แลให้จำเลยเสีนค่าธรรมเนียมค่าทนาย ๒๕ บาท แทนโจทย์ ฯ
โจกย์จำเลยอุทธรณ ศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษพิพากษากลับคำพิพากษาศาลเดิม  แลยกฟ้องโจทย์เสีย  ให้โจทย์เสียค่าธรรมเนียมค่าทนาย ๕๐ บาทแทนจำเลย ฯ
โจทย์ทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกา ฯ
กรรมการศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนแลประชุมปฤกษาคดีนี้เห็นว่าฟ้องของโจทย์กล่าวข้อความแลมีคำขอขัดกันเอง  จึงเปนการไม่แน่นอนว่าโจทย์จำว่าความไปทางใด  กรรมการศาลฎีกาจะได้พิจารณาวินิจฉัยคำขอของโจทย์เปนข้อ ๆ ไป คือ (๑) ที่ โจทย์ขอให้ทำลายสัญญานั้น  โจทย์ก็ไม่ได้อ้างเหตุผลว่าจะทำลายด้วยเหตุใด  แต่ความข้อนี้จำเลยปฏิเสธว่าไม่มีสัญญาต่อกัน  จึงไม่ต้องวินิจฉัยชี้ขาด  ส่วนในคำขอข้อ ๑ ตอนท้ายที่โจทย์ขอให้ศาลพิพากษาให้ที่เปนของโจทย์นั้น  โจทย์ก็มิได้แสดงหลักฐานว่าโจทย์มีกรรมสิทธิเปนเจ้าของที่รายนี้ได้อย่างไร  คดีคงได้ความแต่ว่า  โจทย์ได้เข้าทำเนที่รายนี้โดยคนของจำเลยจัดให้เข้าทำ  แลโดยโจทย์ได้ทำสัญญาเช่าต่อจำเลย  ซึ่งโจทย์ก็รับอยู่ว่าได้ทำสัญญาเช่าที่ของจำเลยจริง  ทั้งจำเลยมีพยานสืบปรากฎว่า  ก่อนที่ให้โจทย์เข้าทำในที่รายนี้ได้มีผู้อื่นเช่าทำเปนที่เตียนอยู่บ้างแล้ว  ดังนี้โจทย์ไม่มีทางที่จะอ้างเอาสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดในที่รายนี้จากการที่ได้เข้าทำมา  จะพิพากษาให้ตามคำขอโจทย์ในข้อนี้มิได้ ฯ
ส่วนคำขอโจทย์ในข้อ ๒ ที่โจทย์ขอให้บังคับจำเลยประพฤติตามสัญญาที่โจทย์อ้างนั้น  โจทย์จะชนะความในข้อนี้ได้ก็ต้องอาศรัยข้อเท็จจริงที่โจทย์จะต้องสืบให้สมว่า  โจทย์ได้ตกลงสัญญากับนายกองนาของจำเลย  ซึ่งจำเลยได้มอบหมายให้อำนาจทำความตกลงตามที่โจทย์กล่าว  นายกองนาที่โจทย์อ้างว่าได้ตกลงสัญญากับโจทย์นั้น คือ นายทองดี  ซึ่งเมื่อมาเบิกความเปนพยานมีบรรดาศักดิ์เปนหลวงธนากรประดิษฐ์  ตัวโจทย์เบิกความเปนพยานว่า  นายทองดีผู้นี้เปนนายกองนาของจำเลย  แลได้ตกลงกับโจทย์ได้ทำสัญญาเปนหนังสือ  มีข้อสัญญาตามที่โจทย์ฟ้อง  หนังสือสัญญานั้นนายทองดีเปนผู้เก็บไว้  แลบอกว่าเวลานี้หายฤาปลวกกินเสียแล้ว  แต่หลวงธนากรประดิษฐ์ (ทองดี)  มาเบิกความเปนพยานโจทย์ไม่ปรากฎว่าได้เปนนายกองนาจำเลย  เปนแต่กล่าวว่าจำเลยได้บอกขอฝากที่นาของจำเลยกับพยานย  แลให้ช่วยชักชวนราษฎรเข้าทำ  ทั้งอ้างต่อไปว่าจำเลยได้กล่าวว่า  เมื่อใครทำครบ ๓ ปีจะขายให้เปนราคานา ๑๐๐ ไร่ต่อ ๓๐๐ บาท  แต่พยานปฏิเสธว่าถ้าเมื่อพ้น ๓ ปีแล้วไม่มีเงินซื้อไม่มีข้อสัญญากล่าวถึงแลพยานเบิกความว่าข้อตกลงนั้นไม่ได้ทำเป็นหนังสือ เปนแต่พูดกันด้วยปาก  นอกจากนี้พยานอื่นของโจทย์ก็เปนแต่เบิกความรัว ๆ ฝ่ายจำเลยอ้างตัวเองเปนพยานปฏิเสธว่าไม่ได้เคยมอบอำนาจให้ใครไปตกลงกับโจทย์ดังโจทย์อ้าง  นายกองนาของจำเลยชื่อนายจงซึ่งได้มาเบิกความประกอบสมจำเลยว่าโจทย์เปนแต่ผู้เช่านาของจำเลย  ได้ทำหนังสือสัญญาเช่าต่อกันเปนหลักฐานดังปรากฎตามหนังสือเช่า ๕ ฉบัพ  ซึ่งได้ทำในพระพุทธศักราช ๒๔๕๖ – ๒๔๕๗ – ๒๔๕๘ – ๒๔๕๙ แล ๒๔๖๐  ตามหลักฐานพยานทั้ง ๒ ฝ่ายที่กล่าวมานี้  เห็นว่าหลักฐานของโจทย์เองก็ยังอ่อนอยู่มาก  ทั้งคำพยานก็แตกต่างแลขัดกัน  เมื่อจำเลยมีหลักฐานหักล้างสมข้อต่อสู้ดังกล่าวมาแล้ว  คดีโจทย์ก็ฟังไม่ได้ทีเดียว  จึงเห็นพร้อมกันว่าคำขอโจทย์ในข้อ ๒ นี้ ตกไปอีกฯ
ส่วนคำขอในข้อ ๓ เมื่อจำเลยมีหลักฐานฟังได้ว่า  โจทย์ได้เช่านาของจำเลยทำดังนั้นแล้ว  ก็ไม่มีทางที่โจทย์จะเรียกร้องเอาค่าลงทุนลงแรงจากจำเลย  เพราะการที่โจทย์ทำก็ได้ผลอยู่แล้ว  แลจำเลยก็ไม่ได้ทำให้โจทย์หลงเข้าใจผิดอย่างใด โจทย์จะเข้าทำก็ได้เห็นแลทราบอยู่ว่าที่ดินเวลานั้นเปนอย่างไรที่โจทย์จะมาร้องในเวลานี้ไม่ควรฟัง ฯ
รวมความตามฟ้องโจทย์ที่มีคำขอทั้ง ๓ ประการ  โจทย์ไม่มีทางที่จะชนะคดีได้  เพราะฉนั้นที่ศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษพิพากษาให้ยกฟ้องโจทย์เสียนั้นเปนอันถูกต้องแล้ว  ให้ยกฎีกาโจทย์เสีย  ให้โจทย์เสียค่าทนายชั้นฎกาแทนจำเลย ๕๐ บาท ฯ
วันที่ ๑ กรกฎาคม พระพุทธศักราช ๒๔๖๓

