แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้โจทก์ทั้งสองจะฟ้องรวมกันมาในคดีเดียวและเสียค่าขึ้นศาลรวมกันมา แต่การอุทธรณ์ฎีกาก็ต้องถือทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกกัน โจทก์ที่ 1 ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์จากทุนทรัพย์ 235,350 บาท คิดเป็นค่าขึ้นศาลเพียง 5,885 บาท มิใช่เสียค่าขึ้นศาลจากทุนทรัพย์ 412,500 บาท โจทก์ที่ 1 ทยอยนำค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มาวางศาล 2 ครั้ง รวมเป็นเงิน 7,000 บาท ภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยาย ซึ่งเป็นการวางเงินเกินกว่าที่ต้องเสียเป็นเงิน 1,115 บาท แต่โจทก์ที่ 1 สำคัญผิดว่ายังชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ไม่ครบ จึงได้ขอขยายระยะเวลาวางเงินออกไปอีก กรณีเช่นนี้ศาลชั้นต้นชอบที่จะพิจารณาสั่งอุทธรณ์ของโจทก์ที่ 1 ได้ ตั้งแต่วางเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ครบถ้วนและสั่งยกคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ของโจทก์ที่ 1 ที่ยื่นหลังจากที่โจทก์ที่ 1 วางเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ครบถ้วน การที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตขยายระยะเวลาวางเงินของโจทก์ที่ 1 และในที่สุดมีคำสั่งไม่อนุญาตขยายระยะเวลาวางเงินของโจทก์ที่ 1 ในครั้งต่อมาพร้อมกับสั่งไม่รับอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์ทั้งสองมีสิทธิในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) เลขที่ ๓๐๗ คนละ ๑ ใน ๙ ส่วน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันจดทะเบียนที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสองตามส่วนดังกล่าวข้างต้น
โจทก์ที่ ๑ ยื่นอุทธรณ์พร้อมกับคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตถึงวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๔๕ เมื่อถึงวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๔๕ โจทก์ที่ ๑ ยื่นคำร้องขอวางเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ ๕,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือขอขยายระยะเวลาวางเงินออกไปอีก ศาลชั้นต้นอนุญาตถึงวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๔๕ เมื่อถึงกำหนดโจทก์ที่ ๑ ยื่นคำร้องขอวางเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์อีก ๒,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือขอขยายระยะเวลาวางเงินออกไปอีก ศาลชั้นต้นอนุญาตและให้โจทก์ที่ ๑ นำเงินส่วนที่เหลือทั้งหมดมาวางศาลภายในวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๔๕ มิฉะนั้น ถือว่าไม่ติดใจอุทธรณ์ วันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๔๕ โจทก์ที่ ๑ ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินออกไปอีก ๑๕ วัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
โจทก์ที่ ๑ ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง (ที่ถูกต้องทำเป็นอุทธรณ์คำสั่ง)
ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษายืน ค่าธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว วินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า ป. เป็นเจ้าของที่ดิน เมื่อ ป. ถึงแก่ความตายทายาทได้ตกลงแบ่งที่ดินดังกล่าวออกเป็น ๓ ส่วน และต่างเข้าครอบครองที่ดินส่วนของตนด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ โดยบิดาโจทก์ที่ ๑ ได้ที่ดินพิพาทส่วนที่อยู่ทางทิศเหนือและทิศตะวันตก โจทก์ที่ ๒ ได้ที่ดินพิพาทส่วนที่อยู่ตรงกลาง และบิดาจำเลยที่ ๒ ได้ที่ดินส่วนที่อยู่ทางทิศใต้ หลังจากบิดาโจทก์ที่ ๑ ถึงแก่ความตาย โจทก์ที่ ๑ ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทส่วนของบิดาโจทก์ที่ ๑ จนถึงปัจจุบัน ต่อมาจำเลยทั้งสองได้จดทะเบียนโอนที่ดินมรดกของ ป. ซึ่งรวมทั้งที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยทั้งสอง ขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทส่วนที่อยู่ทางทิศเหนือและทิศตะวันตกเป็นของโจทก์ที่ ๑ และส่วนที่อยู่ตรงกลางเป็นของโจทก์ที่ ๒ ให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนของจำเลยทั้งสองและให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ที่ ๑ และโจทก์ที่ ๒ แม้โจทก์ทั้งสองจะฟ้องรวมกันมาในคดีเดียวกันและเสียค่าขึ้นศาลรวมกันมา แต่การอุทธรณ์ฎีกาก็ต้องถือทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกกันเพราะเป็นเรื่องที่โจทก์แต่ละคนสามารถใช้สิทธิเฉพาะตัวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๕ แยกต่างหากจากกันได้ เมื่อโจทก์ที่ ๑ ฟ้องเรียกที่ดินพิพาทในส่วนของโจทก์ที่ ๑ เนื้อที่ประมาณ ๑ ไร่ ราคาไร่ละ ๓๐๐,๐๐๐ บาท ทุนทรัพย์ในส่วนของโจทก์ที่ ๑ จึงคิดเป็นเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท และเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ที่ ๑ มีสิทธิในที่ดินมรดกของ ป. ๑ ใน ๙ ส่วน คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ ๘๖.๒ ตารางวา แต่โจทก์ที่ ๑ ไม่พอใจและอุทธรณ์ขอให้ได้ที่ดินพิพาทเนื้อที่เต็มตามฟ้อง จึงเท่ากับขอให้ได้ที่ดินเพิ่มอีก ๓๑๓.๘ ตารางวา คิดเป็นเงิน ๒๓๕,๓๕๐ บาท ซึ่งถือเป็นทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์ โจทก์ที่ ๑ จึงต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เป็นเงิน ๕,๘๘๕ บาท มิใช่เสียค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์ ๔๑๒,๕๐๐ บาท เหมือนดังที่โจทก์ที่ ๑ และโจทก์ที่ ๒ เสียรวมกันมาในศาลชั้นต้น ข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ที่ ๑ ได้ทยอยนำค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มาวางศาล ๒ ครั้ง รวมเป็นเงิน ๗,๐๐๐ บาท โดยครั้งที่ ๒ นำมาวางเมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๔๕ ซึ่งอยู่ในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นขยายให้และเป็นการวางเกินกว่าที่จะต้องเสียเป็นเงิน ๑,๑๑๕ บาท แต่โจทก์ที่ ๑ สำคัญผิดว่ายังชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ไม่ครบจึงได้ขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ออกไปอีก กรณีเช่นนี้ถือว่าโจทก์ที่ ๑ วางเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ครบถ้วนแล้ว ศาลชั้นต้นชอบที่จะพิจารณาสั่งอุทธรณ์ดังกล่าวของโจทก์ที่ ๑ ได้ตั้งแต่นั้นและสั่งยกคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ของโจทก์ที่ ๑ ที่ยื่นหลังจากนั้นเพราะโจทก์ที่ ๑ ไม่จำต้องขอขยายระยะเวลาวางเงินอีกต่อไปแล้ว การที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตขยายระยะเวลาวางเงินให้โจทก์ที่ ๑ ต่อไปอีก และในที่สุดมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ในครั้งต่อมา พร้อมกับสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ที่ ๑ เพราะเหตุโจทก์ที่ ๑ ไม่นำเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มาวางให้ครบถ้วนภายในระยะเวลาที่กำหนดและศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษายืนนั้นจึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๕) ประกอบมาตรา ๒๔๖ , ๒๔๗ และกรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ที่ ๑ อีกต่อไป
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ที่ ๑ และยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๓ หากโจทก์ที่ ๑ ยังประสงค์จะอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ให้นำเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่วางและรับคืนไปแล้วมาวางศาลชั้นต้นอีกครั้งเป็นเงินจำนวน ๕,๘๘๕ บาท ภายในกำหนด ๑๕ วัน นับแต่วันทราบคำพิพากษานี้ แล้วให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งอุทธรณ์ของโจทก์ที่ ๑ ใหม่ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ.