แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อเจ้าพนักงานประเมินแจ้งผลการตรวจสอบผิดพลาดและในหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลก็ระบุเพียงว่าโจทก์บันทึกรายได้ขาดบัญชี จำนวน 3,764,745.13 บาท โดยมิได้มีรายละเอียดอื่นใด เป็นเหตุให้โจทก์อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และนำคดีมาฟ้องศาลโดยเข้าใจคลาดเคลื่อน ดังนั้น การประเมินในส่วนนี้จึงไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จะเป็นปัญหาที่ศาลภาษีอากรกลางมิได้ยกเป็นประเด็นขึ้นวินิจฉัยมาก่อนก็ตาม โจทก์ย่อมมีสิทธิยกปัญหาดังกล่าวขึ้นในชั้นอุทธรณ์ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคสอง ประกอบด้วย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 29
การจ่ายเงินโบนัสของโจทก์เป็นรายจ่ายใด ๆ ที่กำหนดจ่ายจากผลกำไรที่ได้เมื่อสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีแล้ว เพราะเป็นการใช้ผลกำไรเป็นฐานในการกำหนดการจ่ายโบนัสของโจทก์ จึงเป็นรายจ่ายต้องห้ามตาม ป. รัษฎากร มาตรา 65 ตรี (19) โจทก์ไม่สามารถนำรายจ่ายดังกล่าวมาคำนวณกำไรสุทธิได้
เงินเพิ่มเกิดจากการไม่ชำระภาษีให้ครบถ้วนภายในกำหนดเวลา ผู้ชำระภาษีจึงต้องเสียเงินเพิ่ม และตาม ป. รัษฎากร มาตรา 27 มิได้บัญญัติให้ศาลมีอำนาจงดหรือลดเงินเพิ่มนี้ได้
การพิจารณาให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งเท่าใด เพียงไรนั้น เป็นดุลพินิจของศาลที่จะกำหนดให้ เมื่อศาลภาษีอากรกลางเห็นว่าจำเลยชนะคดีเกือบเต็มฟ้องจึงพิจารณาให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ ย่อมเป็นการสมควรแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคล เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และขอให้ลดหรืองดเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้แก้ไขการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ โดยให้นำค่าจ่ายเงินโบนัสจำนวน ๑,๕๗๐,๖๑๐ บาท ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรขาดทุนสุทธิของโจทก์ในการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลรอบระยะเวลาบัญชี ๑ พฤษภาคม ๒๕๓๔ ถึง ๓๐ เมษายน ๒๕๓๕ และให้โจทก์เสียเบี้ยปรับร้อยละ ๕๐ ของเบี้ยปรับตามกฎหมาย คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ในชั้นตรวจสอบภาษี เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีของจำเลยตรวจพบว่าในรอบระยะเวลาบัญชี ๑ พฤษภาคม ๒๕๓๔ ถึง ๓๐ เมษายน ๒๕๓๕ โจทก์มีรายได้จากการให้เช่าอาคารพาณิชย์ จำนวน ๓,๗๓๒,๖๕๐ บาท โจทก์ได้นำรายได้ค่าเช่าอาคารพาณิชย์บันทึกบัญชีรายได้และแสดงในแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด. ๕๐) ไว้ถูกต้องแล้ว แต่โจทก์ยื่นรายได้ในส่วนของค่าห้องพัก รายได้จากการขายและอื่น ๆ รวมทั้งค่าบริการโทรศัพท์และเทเล็กซ์ขาดไปจำนวน ๓,๗๖๔,๗๔๕.๑๓ บาท ต่อมาเจ้าพนักงานตรวจสอบของจำเลยได้หมายเรียกโจทก์ให้มารับทราบผลการตรวจสอบ โดยแจ้งว่าโจทก์ไม่ได้นำรายได้ค่าเช่าอาคารพาณิชย์มาบันทึกเป็นรายได้ ทำให้รายได้จากการให้เช่าอาคารพาณิชย์ขาดบัญชีไปจำนวน ๓,๗๖๔,๗๔๕.๑๓ บาท เห็นได้ว่าเป็นกรณีที่เจ้าพนักงานตรวจสอบ แจ้งผลการตรวจสอบผิดพลาด และหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลก็ระบุเพียงว่าโจทก์บันทึกรายได้ขาดบัญชี ๓,๗๖๔,๗๔๕.๑๓ บาท โดยมิได้มีรายละเอียดอื่นใด เป็นเหตุให้โจทก์อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และอุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลว่าโจทก์บันทึกรายได้ค่าเช่าอาคารพาณิชย์ถูกต้องแล้ว ดังนั้น การประเมินในส่วนนี้จึงไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จะเป็นปัญหาที่ศาลภาษีอากรกลางมิได้ยกเป็นประเด็นขึ้นวินิจฉัยมาก่อนก็ตาม โจทก์ย่อมมีสิทธิยกปัญหาดังกล่าวขึ้นในชั้นอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ วรรคสอง ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๒๙ สำหรับรายได้ในส่วนของค่าห้องพัก รายได้จากการขาย และอื่น ๆ รวมทั้งค่าบริการโทรศัพท์และเทเล็กซ์ที่เจ้าพนักงานของจำเลยตรวจสอบแล้ว เห็นว่า โจทก์ยื่นรายได้ขาดไปจำนวน ๓,๗๖๔,๗๔๕.๑๓ บาท โจทก์จะต้องเสียภาษีในส่วนนี้หรือไม่เพียงใดนั้น ไม่มีประเด็นในชั้นนี้ เป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานของจำเลยจะต้องดำเนินการออกหมายเรียกตรวจสอบและแจ้งการประเมินให้ถูกต้องไปภายในกำหนดอายุความ อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
กรณีว่า การจ่ายเงินโบนัสของโจทก์พิจารณาจากผลกำไรเมื่อสิ้นรอบระยะเวลาบัญชีจึงเป็นรายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา ๖๕ ตรี (๑๙) หรือไม่นั้น เห็นว่า ตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๖๕ ตรี (๑๙) บัญญัติว่า รายจ่ายใด ๆ ที่กำหนดจ่ายจากผลกำไรที่ได้เมื่อสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีแล้ว ไม่ให้ถือว่าเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ ซึ่งหมายถึงรายจ่ายใด ๆ ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลมีข้อกำหนดหรือหลักเกณฑ์การจ่ายจากผลกำไรเมื่อสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี โดยไม่คำนึงว่าโบนัสนั้นจะจ่ายเป็นอัตราร้อยละของผลกำไร หรือจ่ายเป็นจำนวนเท่าของเงินเดือนที่พนักงานแต่ละคนได้รับ พยานโจทก์ก็เบิกความสอดคล้องกันว่า โจทก์จ่ายเงินโบนัสให้พนักงานโจทก์เพราะผลประกอบการของโจทก์มีกำไร และจากพยานหลักฐานของโจทก์ปรากฏว่า โจทก์มีรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๓๔ ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๓๕ ของปีถัดไป เมื่อสิ้นรอบระยะเวลาบัญชีและโจทก์ทราบผลกำไรแล้ว ต่อมาประมาณกลางเดือนพฤษภาคมของทุกปี รองกรรมการผู้จัดการของโจทก์จะเสนอเรื่องไปยังกรรมการผู้จัดการ เพื่อขออนุมัติจ่ายโบนัสแก่พนักงาน ปรากฏตามหนังสือของอนุมัติโบนัส เอกสารหมาย จ. ๒ แผ่นที่ ๑๑๕ ถึง ๑๒๓ พยานโจทก์ที่สืบมาไม่ปรากฏว่าการจ่ายโบนัสเป็นรายจ่ายที่กำหนดว่าเป็นรายจ่ายที่โจทก์จะต้องจ่ายให้แก่พนักงานหรือเป็นรายจ่ายที่มีลักษณะเป็นส่วนหนึ่งของเงินเดือนดังนี้ ตามพฤติการณ์ของโจทก์ดังกล่าวส่อแสดงให้เห็นชัดว่าการจ่ายเงินโบนัสของโจทก์เป็นรายจ่ายใด ๆ ที่กำหนดจ่ายจากผลกำไรที่ได้เมื่อสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีแล้ว เพราะเป็นการใช้ผลกำไรเป็นฐานในการกำหนดการจ่ายโบนัสของโจทก์ รายจ่ายของโจทก์ที่จ่ายเป็นค่าโบนัสจำนวน ๑,๕๗๐,๖๑๐ บาท เป็นรายจ่ายที่จ่ายจากผลกำไรเมื่อสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีแล้ว จึงเป็นรายจ่ายต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๖๕ ตรี (๑๙) โจทก์ไม่สามารถนำรายจ่ายดังกล่าวมาคำนวณกำไรสุทธิได้ ที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่าสามารถนำมาคำนวณกำไรสุทธิได้นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์จำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้งดหรือลดเงินเพิ่มนั้น เห็นว่า เงินเพิ่มเกิดจากการไม่ชำระภาษีให้ครบถ้วนภายในกำหนดเวลา ผู้ชำระภาษีจึงต้องรับผิดเสียเงินเพิ่ม และตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๒๗ มิได้บัญญัติให้ศาลมีอำนาจงดหรือลดเงินเพิ่มนี้ได้ อุทธรณ์ของโจทก์และจำเลยฟังไม่ขึ้น
ที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์นั้น เห็นว่า การพิจารณาให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งเท่าใด เพียงไรนั้น เป็นดุลพินิจของศาลที่จะกำหนดให้ เมื่อศาลภาษีอากรกลางเห็นว่าจำเลยชนะคดีเกือบเต็มฟ้องจึงพิจารณาให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ ย่อมเป็นการสมควรแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้แก้ไขการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคล และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ โดยให้เพิกถอนการประเมินเฉพาะในส่วนของการบันทึกรายได้ขาดบัญชีจำนวน ๓,๗๖๔,๗๔๕.๑๓ บาท แต่ในส่วนของค่าใช้จ่ายเงินโบนัสจำนวน ๑,๕๗๐,๖๑๐ บาท การประเมินชอบแล้ว และคงให้โจทก์เสียเบี้ยปรับร้อยละ ๕๐ ของเบี้ยปรับตามกฎหมาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ.