คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1391/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยฎีกาว่า ค่าเสียหายที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยชำระแก่โจทก์ในกรณีที่จำเลยไม่คืนทรัพย์สินหรืออุปกรณ์เครื่องใช้ต่าง ๆ ในการทำอาหาร 80,000 บาท เหมาะสมหรือไม่ เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการกำหนด ค่าเสียหายของศาลอุทธรณ์จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท คดีจึงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ และให้โจทก์ชำระเงินแก่จำเลยตามฟ้องแย้ง โดยกำหนดให้โจทก์ชำระค่าเช่าที่ค้าง 138,000 บาท ค่าซ่อมแซมตึกพิพาท 200,000 บาท และค่าไฟฟ้า 7,708 บาท รวมเป็นเงิน 345,708 บาท ซึ่งเมื่อหักเงินประกัน 240,000 บาท โจทก์ต้องชำระเงินให้แก่จำเลย 105,708 บาท เมื่อจำเลยไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้ง คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นดังกล่าว และโจทก์อุทธรณ์เพียงฝ่ายเดียวขอให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ตามฟ้องเดิม และขอให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่กำหนดให้โจทก์ชำระเงินดังกล่าวตามฟ้องแย้งของจำเลย ดังนั้น จำนวนเงินที่พิพาทกันในส่วนค่าซ่อมแซมตึกพิพาทจึงเป็นเงิน 200,000 บาท เท่านั้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย โดยไม่กำหนดค่าซ่อมแซมตึกพิพาทให้ตามฟ้องแย้ง จำเลยจะฎีกาโต้เถียงให้โจทก์ชำระค่าซ่อมแซมตึกพิพาทให้จำเลย 420,000 บาท เต็มตามฟ้องแย้งอีกหาได้ไม่ ทุนทรัพย์ที่จำเลยฎีกาได้คงเป็นเงินค่าซ่อมแซม 200,000 บาท ตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้เท่านั้น ที่จำเลยฎีกาอ้างว่าจำเลยเข้าซ่อมแซมตึกพิพาทเนื่องจากโจทก์ยอมให้หักเงินประกัน โจทก์ผิดสัญญาเช่า ไม่บำรุงรักษารวมทั้งซ่อมแซมเล็กน้อย โจทก์จึงต้องรับผิดต่อจำเลยนั้นเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท คดีจึงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๓๗ โจทก์ทำสัญญาเช่าตึกพิพาทจากจำเลย ตกลงค่าเช่าเดือนละ ๒๕,๐๐๐ บาท โจทก์วางเงินล่วงหน้าเป็นประกันการเช่าเป็นเงิน ๒๔๐,๐๐๐ บาท ก่อนทำสัญญาเช่าจำเลยทำหลักฐานเป็นหนังสือว่าจะขนย้ายทรัพย์สินออกจากตึกที่ให้เช่าภายในวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๓๗ แต่เมื่อครบกำหนดจำเลยไม่ขนย้ายออกไปโดยขออยู่ต่ออีก ๖ เดือน และยอมให้หักค่าเช่าเดือนละ ๒,๐๐๐ บาท ซึ่งโจทก์จะชำระค่าเช่าเพียง ๒๓,๐๐๐ บาท ต่อเดือน เมื่อครบ ๖ เดือน จำเลยยังไม่ขนย้ายออกไป ต่อมาจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยจำเลยดึงประตูเหล็ก หน้าบ้านล็อกกุญแจไว้ไม่ให้ใช้ประโยชน์ตามปกติ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นค่าเสียหายที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในตึกพิพาทเป็นเงิน ๕๒๐,๐๐๐ บาท และจำเลยต้องคืนเงินประกันการเช่า ๒๔๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์และมีทรัพย์สินของโจทก์อยู่ในตึกดังกล่าวและอุปกรณ์อื่น ๆ ในการทำอาหารเป็นเงิน ๑๘๔,๕๐๖ บาท จำเลยต้องรับผิดชดใช้แก่โจทก์ด้วย รวมค่าเสียหายเป็นเงิน ๙๔๔,๕๐๖ บาท ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน ๙๔๔,๕๐๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ผิดนัดชำระค่าเช่าตั้งแต่เดือนธันวาคม ๒๕๓๘ โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ดูแลตึกพิพาทปล่อยปละละเลยทำให้ตึกพิพาททรุดโทรมไม่ซ่อมแซม จำเลยตกลงกับโจทก์เข้าทำการซ่อมแซมตึกพิพาทเอง โดยโจทก์ยอมเสียค่าใช้จ่าย และเนื่องจากตึกพิพาทมีทรัพย์สินของโจทก์อยู่บ้าง จำเลยจึงปิดประตูตึกพิพาทเพื่อป้องกันมิให้ทรัพย์สินของโจทก์สูญหายหรือเสียหาย เมื่อจำเลยซ่อมแซมตึกพิพาทเสร็จแล้ว โจทก์ไม่ยอมรับมอบการ ครอบครองตึกพิพาท โจทก์ติดค้างชำระค่าเช่าตั้งแต่เดือนธันวาคม ๒๕๓๘ ถึงเดือนพฤษภาคม ๒๕๓๙ คิดเป็นค่าเช่าที่โจทก์ค้าง ๑๓๘,๐๐๐ บาท โจทก์ติดค้างค่าซ่อมแซมตึกพิพาท ๔๒๐,๐๐๐ บาท และโจทก์ติดค้างค่าน้ำประปาและค่าไฟฟ้า ๙,๔๗๖.๘๕ บาท รวมเป็นเงินที่โจทก์ต้องชำระแก่จำเลย ๕๖๗,๔๗๖.๘๕ บาท เมื่อหักเงินประกัน ๒๔๐,๐๐๐ บาท โจทก์ยังคงต้องชำระ ๓๒๗,๔๗๖.๘๕ บาท ขอให้ยกฟ้องและบังคับตามฟ้องแย้ง โดยให้โจทก์ชำระค่าเสียหาย ๓๒๗,๔๗๖.๘๕ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์ให้การฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่เคยติดค้างค่าเช่า การซ่อมแซมตึกพิพาทจำเลยทำเอง โดยโจทก์ไม่รับรู้และเป็นไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยเอง ทั้งไม่มีข้อสัญญาเช่าข้อใดให้โจทก์จะต้องรับผิดในการซ่อมแซมจำนวนมากเช่นนี้
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ชำระเงินจำนวน ๑๐๕,๗๐๘ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๓๙) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยกับให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ ๔,๐๐๐ บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามจำนวน ทุนทรัพย์ที่จำเลยชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน ๙๔,๒๙๒ บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยคืนทรัพย์สินและอุปกรณ์เครื่องใช้ต่าง ๆ ในการทำอาหารของโจทก์แก่โจทก์ หากจำเลยไม่คืนหรือคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาเป็นเงิน ๘๐,๐๐๐ บาท ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสอง ศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่ากับทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความรวม ๔,๐๐๐ บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้จำเลยฎีกาทั้งในประเด็นส่วนฟ้องเดิมของโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลยรวมกันมา ศาลฎีกาจึงแยกวินิจฉัยดังนี้ สำหรับปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในส่วนฟ้องเดิมของโจทก์มีว่า ค่าเสียหายที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ กำหนดให้จำเลยชำระแก่โจทก์ในกรณีที่จำเลยไม่คืนทรัพย์สินหรืออุปกรณ์เครื่องใช้ต่าง ๆ ในการทำอาหาร ๘๐,๐๐๐ บาท เหมาะสมหรือไม่ เห็นว่า ประเด็นดังกล่าวเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการกำหนดค่าเสียหายของศาลอุทธรณ์ภาค ๒ จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท คดีจึงต้องห้าม มิให้จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๘ วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาในส่วนฟ้องแย้งของจำเลยว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ วินิจฉัยว่า จำเลยผู้ให้เช่าเป็น ผู้มีหน้าที่ซ่อมแซมตึกพิพาทเอง โจทก์ผู้เช่ามีหน้าที่เพียงซ่อมแซมเล็กน้อยเป็นการไม่ชอบ โจทก์ต้องชำระค่า ซ่อมแซมตึกพิพาท ๔๒๐,๐๐๐ บาท ให้แก่จำเลยตามฟ้องแย้งนั้น เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ และ ให้โจทก์ชำระเงินแก่จำเลยตามฟ้องแย้ง โดยกำหนดให้โจทก์ชำระค่าเช่าที่ค้าง ๑๓๘,๐๐๐ บาท ค่าซ่อมแซมตึกพิพาท ๒๐๐,๐๐๐ บาท และค่าไฟฟ้า ๗,๗๐๘ บาท รวมเป็นเงิน ๓๔๕,๗๐๘ บาท ซึ่งเมื่อหักเงินประกัน ๒๔๐,๐๐๐ บาทแล้ว โจทก์ต้องชำระเงินให้แก่จำเลย ๑๐๕,๗๐๘ บาท พร้อมดอกเบี้ย เมื่อจำเลยไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังกล่าว และโจทก์อุทธรณ์เพียงฝ่ายเดียวขอให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ตามฟ้องเดิมและขอให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่กำหนดให้โจทก์ชำระเงินดังกล่าวตามฟ้องแย้งของจำเลย ดังนั้น จำนวนเงินที่พิพาทกันในส่วนค่าซ่อมแซมตึกพิพาทจึงเป็นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาทเท่านั้น เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษากลับให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย โดยไม่กำหนดค่าซ่อมแซมตึกพิพาทให้ตามฟ้องแย้ง จำเลยจะฎีกาโต้เถียงให้โจทก์ชำระค่าซ่อมแซมตึกพิพาท ให้จำเลย ๔๒๐,๐๐๐ บาท เต็มตามฟ้องแย้งอีกหาได้ไม่ ทุนทรัพย์ที่จำเลยฎีกาได้คงเป็นเงินค่าซ่อมแซม ๒๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้เท่านั้น ที่จำเลยฎีกาอ้างว่าจำเลยเข้าซ่อมแซมตึกพิพาทเนื่องจากโจทก์ยอมให้หักเงินประกัน ๒๔๐,๐๐๐ บาท โจทก์ผิดสัญญาเช่า ไม่สงวนตึกพิพาทเสมอกับที่วิญญูชนจะพึงกระทำและไม่บำรุงรักษารวมทั้ง ซ่อมแซมเล็กน้อย ทำให้ความเสียหาย โจทก์จึงต้องรับผิดชำระค่าซ่อมแซมตึกพิพาทให้แก่จำเลยนั้นเป็นฎีกาใน ข้อเท็จจริง เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท คดีจึงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
พิพากษายกฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่จำเลย ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share