คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7877/2546

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 193 การดำเนินคดีอย่างคดีไม่มีข้อยุ่งยาก ศาลต้องออกหมายเรียกให้จำเลยมาศาลเพื่อการไกล่เกลี่ย ให้การ และสืบพยานในวันเดียวกัน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 196 ประกอบมาตรา 193 และถ้าจำเลยได้รับหมายเรียกแล้วไม่มาศาลตามกำหนดนัด ศาลต้องมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาแล้วจึงพิจารณาคดีไปฝ่ายเดียว และพิพากษาโดยเร็วเท่าที่พึงกระทำได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 196 วรรคสอง (3) โดยศาลอาจพิพากษาในวันนัดพิจารณานั่นเอง หรืออาจเลื่อนคดีไปพิพากษาในวันอื่นก็ได้ ดังนั้น การพิจารณาคดีไม่มีข้อยุ่งยาก โจทก์จึงไม่ต้องปฏิบัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา 198 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งจำหน่ายคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 198 วรรคสอง จึงไม่ชอบ
การดำเนินคดีอย่างคดีไม่มีข้อยุ่งยาก ป.วิ.พ. มาตรา 196 วรรคสอง (3) บัญญัติไว้โดยชัดแจ้งว่า ถ้าจำเลยได้รับหมายเรียกของศาลแล้วไม่มาตามกำหนดนัด ให้ศาลมีคำสั่งโดยไม่ชักช้าว่า จำเลยขาดนัดพิจารณาแล้วให้ศาลพิจารณาคดีไปฝ่ายเดียว การที่จำเลยไม่มาศาล และศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาลและไม่แจ้งเหตุขัดข้อง แล้วให้โจทก์ส่งเอกสารแทนการสืบพยาน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 198 ทวิ วรรคสาม (1) ไปเลย โดยไม่ได้มีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา จึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาเสียใหม่ให้ถูกต้อง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243 (2) ประกอบมาตรา 247

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ย ศาลชั้นต้นรับฟ้องเป็นคดีไม่ข้อยุ่งยากและและให้พิจารณาอย่างคดีมโนสาเร่ จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและมิได้มาศาลตามกำหนดนัด ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาเมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๔๔ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน ๓๒๖,๒๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๒๒๕,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๔๓ เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องลงวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๔๔ ว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๔๔ จำเลยทั้งสองมิได้จงใจขาดนัดพิจารณาเนื่องจากในวันดังกล่าว การจราจรในบริเวณศาลแพ่งติดขัดมากทำให้ทนายจำเลยทั้งสองมาถึงห้องพิจารณาคดีเวลา ๑๓.๔๐ นาฬิกา ขณะที่ศาลและคู่ความยังอยู่ในห้องพิจารณาขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วอนุญาตให้พิจารณาใหม่
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า คำร้องเป็นเท็จ ไม่ชอบที่ศาลจะยกขึ้นพิจารณาใหม่
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์มิได้ยื่นคำขอต่อศาลชั้นต้นภายในสิบห้าวันนับแต่ระยะเวลาที่กำหนดให้จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การสิ้นสุดลง เพื่อให้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีจำเลยทั้งสองโดยขาดนัด ศาลชั้นต้นชอบที่จะสั่งจำหน่ายคดีจำเลยทั้งสองเสียจากสารบบความ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๙๘ วรรคสอง พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำหน่ายคดีชอบหรือไม่ คดีนี้ศาลชั้นต้นรับฟ้องเป็นคดีไม่มีข้อยุ่งยากและให้พิจารณาอย่างคดีมโนสาเร่โดยนัดพิจารณาในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ เวลา ๙ นาฬิกา เพื่อทำการไกล่เกลี่ย ให้จำเลยทั้งสองให้การและสืบพยานในวันเดียวกัน ถึงวันนัด ทนายโจทก์และผู้รับมอบฉันทะจากทนายจำเลยทั้งสองมาศาล ทนายจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้เลื่อนไปสืบพยานโจทก์ (ที่ถูก นัดพิจารณา) วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ เวลา ๑๓.๓๐ นาฬิกา ในวันนัดจำเลยทั้งสองไม่มาศาล ศาลชั้นต้นจึงพิจารณาคดีไปฝ่ายเดียวและนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๔๔ เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นให้ดำเนินคดีอย่างคดีไม่มีข้อยุ่งยาก ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๙๖ วรรคสอง บัญญัติให้นำบทบัญญัติว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีมโนสาเร่ เว้นแต่มาตรา ๑๙๐ จัตวา มาใช้บังคับ โดยมาตรา ๑๙๓ และมาตรา ๑๙๖ วรรคสอง (๓) บัญญัติให้การดำเนินคดีอย่างคดีไม่มีข้อยุ่งยาก ศาลต้องออกหมายเรียกให้จำเลยมาศาลเพื่อการไกล่เกลี่ยให้การและสืบพยานในวันเดียวกัน และถ้าจำเลยได้รับหมายเรียกของศาลแล้วไม่มาศาลตามกำหนดนัด ศาลต้องมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา แล้วจึงพิจารณาคดีไปฝ่ายเดียว และพิพากษาโดยเร็วเท่าที่พึงกระทำได้ โดยศาลอาจพิพากษาในวันนัดพิจารณานั่นเองหรืออาจเลื่อนคดีไปพิพากษาในวันอื่นก็ได้ แต่ต้องกระทำโดยเร็วเท่าที่พึงกระทำได้ ดังนั้น กรณีการพิจารณาคดีไม่มีข้อยุ่งยากจึงไม่อาจนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๙๘ มาใช้บังคับ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำหน่ายคดีเพราะเหตุที่โจทก์มิได้ยื่นคำขอต่อศาลชั้นต้น เพื่อให้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีตามมาตรา ๑๙๘ วรรคสอง จึงไม่ชอบ
อย่างไรก็ตาม คดีนี้ปรากฏว่าศาลชั้นต้นให้ดำเนินคดีอย่างคดีไม่มีข้อยุ่งยาก ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๙๖ วรรคสอง (๓) ได้บัญญัติไว้โดยชัดแจ้งว่า ถ้าจำเลยได้รับหมายเรียกของศาลแล้วไม่มาศาลตามกำหนดนัด ให้ศาลมีคำสั่งโดยไม่ชักช้าว่า จำเลยขาดนัดพิจารณาแล้วให้ศาลพิจารณาคดีไปฝ่ายเดียว ฯลฯ อันเป็นวิธีพิจารณาวิสามัญในศาลชั้นต้นที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะสำหรับคดีไม่มีข้อยุ่งยากแล้วว่าให้ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาในกรณีที่จำเลยไม่มาศาล กระบวนพิจารณาต่อจากนั้นมาจึงจะใช้ดุลยพินิจให้โจทก์ส่งเอกสารแทนการสืบพยาน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๙๘ ทวิ วรรคสาม (๑) โดยอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๔ และมาตรา ๒๐๖ วรรคสอง มาใช้บังคับแก่คดีโดยอนุโลมได้ ดังนั้น การที่จำเลยทั้งสองไม่มาศาล และศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสองทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาลและไม่แจ้งเหตุขัดข้อง และให้โจทก์ส่งเอกสารแทนการสืบพยาน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๙๘ ทวิ วรรคสาม (๑) ไปเลย โดยไม่ได้มีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา จึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาเสียใหม่ให้ถูกต้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๓ (๒) ประกอบมาตรา ๒๔๗
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ แล้วมีคำพิพากษาตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลในชั้นนี้ให้เป็นพับ.

Share