คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3829/2546

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลฎีกาพิพากษากลับให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้เพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าสร้างระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 และเพิกถอนสัญญาเช่าสร้างระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ถ้าไม่สามารถเพิกถอน การโอนสิทธิการเช่าสร้างและสัญญาเช่าสร้างดังกล่าวไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันชดใช้เงิน 3,200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากเพิกถอนการ โอนสิทธิการเช่าสร้างและสัญญาเช่าสร้างดังกล่าวได้แล้ว แต่จำเลยที่ 1 ไม่สามารถโอนสิทธิการเช่าสร้างดังกล่าวให้โจทก์ได้ ไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ให้จำเลยที่ 1 แต่เพียงผู้เดียวชดใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยตามจำนวนที่กำหนดไว้ข้างต้นแก่โจทก์ จำเลย ทั้งสามมิได้ปฏิบัติตามคำบังคับของศาล แต่ก่อนที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาดังกล่าว ที่ดินแปลงที่จำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 3 เช่าสร้างอาคารถูกเวนคืนเพื่อสร้างทางพิเศษ เมื่อที่ดินตามสัญญาเช่าสร้างดังกล่าวถูกเวนคืนทำให้ไม่มีทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งสัญญาให้เพิกถอนเพื่อโอนให้แก่โจทก์ ถือได้ว่าสภาพแห่งการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาไม่เปิดช่อง ให้กระทำได้ กรณีจึงต้องดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาในลำดับต่อมา คือ จำเลยที่ 1 และที่ 3 ต้องร่วมกัน ชดใช้เงิน 3,200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยที่ 3 ออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จึงเป็นการปฏิบัติตามลำดับขั้นตอนของคำพิพากษาศาลฎีกาและเป็นการบังคับคดีที่ชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกาพิพากษาให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้เพิกถอนการโอนสิทธิ การเช่าสร้างระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๓ และเพิกถอนสัญญาเช่าสร้างระหว่างจำเลยที่ ๒ กับจำเลยที่ ๓ ถ้าไม่สามารถเพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าสร้างและสัญญาเช่าสร้างดังกล่าวไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ร่วมกันชดใช้เงิน ๓,๒๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากเพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าสร้างและสัญญาเช่าสร้างดังกล่าวได้แล้ว แต่จำเลยที่ ๑ ไม่สามารถโอนสิทธิการเช่าสร้างดังกล่าวให้โจทก์ได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ให้จำเลยที่ ๑ แต่เพียงผู้เดียวชดใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยตามจำนวนที่กำหนดไว้ข้างต้นแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นออกคำบังคับและออกหมายบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสามแล้ว
จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้อง ขอให้เพิกถอนหมายบังคับคดีและเพิกถอนการยึดที่ดินของจำเลยที่ ๓
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า การที่โจทก์ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีและนำยึดที่ดินของจำเลยที่ ๓ สุจริตและชอบด้วย กฎหมายแล้ว ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ
จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้เป็นยุติว่า เดิมจำเลยที่ ๑ ได้สิทธิการเช่าสร้างอาคารในที่ดินของจำเลยที่ ๒ ต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้ตกลงโอนสิทธิการเช่าสร้างนี้ให้แก่โจทก์ และได้ยื่นเรื่องขอโอนสิทธิการเช่าสร้าง ให้จำเลยที่ ๒ พิจารณาอนุมัติ หลังจากนั้นจำเลยที่ ๑ ได้ขอระงับการโอนสิทธิการเช่าสร้างให้แก่โจทก์ต่อจำเลยที่ ๒ และขอโอนสิทธิการเช่าสร้างดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ ๓ แทน จำเลยที่ ๒ ได้อนุมัติให้จำเลยที่ ๑ ระงับการขอโอนสิทธิการเช่าสร้าง ให้แก่โจทก์และอนุมัติให้จำเลยที่ ๑ โอนสิทธิการเช่าสร้างให้แก่จำเลยที่ ๓ แล้ว โดยจำเลยที่ ๒ ได้ทำสัญญาเช่าสร้างกับจำเลยที่ ๓ ต่อมาโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้ขอให้เพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าสร้างระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๓ และเพิกถอนสัญญาเช่าที่ดินและอาคารตามสัญญาเช่าสร้างระหว่างจำเลยที่ ๒ กับจำเลยที่ ๓ ให้จำเลยที่ ๒ ทำสัญญาให้โจทก์เป็นผู้เช่าที่ดินและอาคารตามสัญญาเช่าสร้าง ถ้าจำเลยที่ ๒ ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ ๒ ถ้าไม่สามารถบังคับตามคำขอข้างต้นได้ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้เงินจำนวน ๓,๒๐๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ พร้อมค่าเสียหายในอัตราร้อยละ ๑๖ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวโดยทบต้นทุกเดือน ซึ่งคดี ได้ถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้เพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าสร้างระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๓ และเพิกถอนสัญญาเช่าสร้างระหว่างจำเลยที่ ๒ กับจำเลยที่ ๓ ถ้าไม่สามารถเพิกถอนการโอนสิทธิ การเช่าสร้างและสัญญาเช่าสร้างดังกล่าวไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ร่วมกันชดใช้เงิน ๓,๒๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากเพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าสร้าง และสัญญาเช่าสร้างดังกล่าวได้แล้ว แต่จำเลยที่ ๑ ไม่สามารถโอนสิทธิการเช่าสร้างดังกล่าวให้โจทก์ได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ให้จำเลยที่ ๑ แต่เพียงผู้เดียวชดใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยตามจำนวนที่กำหนดไว้ข้างต้นแก่โจทก์ ทั้งนี้ในชั้นอุทธรณ์และ ชั้นฎีกานั้น จำเลยที่ ๓ ผู้อุทธรณ์และฎีกาได้ยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับระหว่างอุทธรณ์และฎีกา โดยจำเลยที่ ๓ นำที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๙๒๔ และ ๑๘๗๑ วางเป็นหลักประกันในการขอทุเลาการบังคับ ซึ่งศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาก็อนุญาต ให้ทุเลาการบังคับตลอดมา หลังจากศาลฎีกามีคำพิพากษาดังกล่าวแล้ว ศาลชั้นต้นได้ออกหมายบังคับคดี โจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๙๒๔ ของจำเลยที่ ๓ เพื่อนำออกขายทอดตลาด ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๓ มีว่า การบังคับคดีของโจทก์ต่อจำเลยที่ ๓ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า นับตั้งแต่ศาลฎีกามี คำพิพากษา โจทก์ได้ขอออกคำบังคับและนำส่งให้จำเลยทั้งสามทราบโดยชอบแล้ว แต่ตามทางไต่สวนของจำเลยที่ ๓ ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสามได้ปฏิบัติตามคำบังคับแต่อย่างใด คงได้ความเพียงว่า ก่อนศาลฎีกามีคำพิพากษานั้น ที่ดินแปลงที่จำเลยที่ ๒ ให้จำเลยที่ ๓ เช่าสร้างอาคารได้ถูกเวนคืนเพื่อสร้างทางพิเศษ ต่อมาจำเลยที่ ๒ ได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าที่ดินไปยังจำเลยที่ ๑ ดังนี้ แม้ที่ดินแปลงที่จำเลยที่ ๒ ให้จำเลยที่ ๓ เช่าสร้างอาคารซึ่งเป็นทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งสัญญาถูกเวนคืนดังกล่าว แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๒ หรือที่ ๓ ได้บอกเลิกสัญญาเช่าสร้างระหว่างกันแต่อย่างใด สัญญาเช่าสร้างระหว่างจำเลยที่ ๒ กับที่ ๓ จึงยังมิได้ยกเลิกหรือเพิกถอนไป หากมีการยกเลิกการเวนคืนที่ดินแปลงดังกล่าว สัญญาเช่าสร้างดังกล่าวก็ยังคงมีผลอยู่เช่นเดิมตราบเท่าที่ยังไม่มีการเพิกถอน เมื่อที่ดินตามสัญญาเช่าสร้างระหว่างจำเลยที่ ๒ กับจำเลยที่ ๓ ถูกเวนคืนอันทำให้ไม่มีทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งสัญญาให้เพิกถอนเพื่อโอนให้แก่โจทก์ เช่นนี้ ถือได้ว่าสภาพแห่งการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ให้เพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าสร้างและสัญญาเช่าสร้าง ไม่เปิดช่องให้กระทำได้ กรณีจึงต้องดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาในลำดับต่อมา คือ จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๓ ต้องร่วมกันชดใช้เงิน ๓,๒๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดังนั้น การที่โจทก์นำยึดที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๙๒๔ ของจำเลยที่ ๓ ซึ่งวางเป็นประกันในการขอทุเลาการบังคับออกขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ จึงเป็นการปฏิบัติตามลำดับขั้นตอนของคำพิพากษาศาลฎีกาและเป็นการบังคับคดีที่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษายกคำร้องของจำเลยที่ ๓ ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ ๓ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share