แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ในวันที่ 29 มกราคม 2544 เวลา 11.15 นาฬิกา อันเป็นวันครบกำหนดยื่นอุทธรณ์ ข้อความในคำร้องตอนต้นระบุว่าทนายจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้ขอคัดคำพิพากษา ส่อแสดงให้เห็นว่าการยื่นอุทธรณ์ไม่ทันภายในกำหนด มิใช่มาจากเหตุที่ทนายจำเลยที่ 1 มีคดีที่จะต้องเขียนอุทธรณ์และทำคำแก้อุทธรณ์อีกหลายคดีดังที่ทนายจำเลยที่ 1 อ้างในคำร้อง จึงถือไม่ได้ว่าตามคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 มีพฤติการณ์พิเศษ
แม้ศาลจะสั่งยกคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ในวันยื่นคำร้อง จำเลยที่ 1 ก็คงไม่สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ทันในวันนั้น เพราะวันดังกล่าวเป็นวันครบกำหนดยื่นอุทธรณ์และจำเลยที่ 1 ยังไม่ทราบเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลเนื่องจากยังไม่ได้ขอคัดคำพิพากษา อีกทั้งทนายจำเลยที่ 1 ได้ลงชื่อรับทราบในคำร้องว่าให้มาฟังคำสั่งในวันที่ล่วงเลยกำหนดยื่นอุทธรณ์ แสดงว่าทนายจำเลยที่ 1 ยอมรับผลการสั่งของศาลแล้วว่าหากศาลไม่อนุญาตจำเลยที่ 1 ย่อมเสียสิทธิในการยื่นอุทธรณ์ ดังนั้น จำเลยที่ 1 จะมาโต้แย้งในภายหลังหาชอบไม่
ย่อยาว
คดีก่อนจำเลยที่ ๑ แพ้คดี ในวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๔๔ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่จำเลยที่ ๑ มีสิทธิยื่นอุทธรณ์ได้ จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องว่า ทนายจำเลยที่ ๑ ยังมิได้ขอคัดคำพิพากษา เนื่องจากมาจดรายละเอียดจากเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ ทนายจำเลยที่ ๑ มีคดีที่ต้องเรียงอุทธรณ์และทำคำแก้อุทธรณ์อีกหลายคดี จึงขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์มีกำหนด ๒๐ วัน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ตามคำร้องไม่ได้อ้างเหตุอันสมควรที่จะขอขยายระยะเวลา ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จะยกขึ้นอ้างในการยื่นอุทธรณ์นั้น คู่ความจะต้องกล่าวไว้โดยชัดแจ้งในอุทธรณ์ ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ วรรคหนึ่ง ดังนั้น การที่คู่ความจะทำคำอุทธรณ์ที่ชัดแจ้งได้ก็ต้องทราบเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยทั้งปวงของศาล เมื่อตามคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งยื่นในวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๔๔ เวลา ๑๑.๑๕ นาฬิกา อันเป็นวันครบกำหนดยื่นอุทธรณ์นั้นระบุข้อความในตอนต้นว่า ทนายจำเลยที่ ๑ ยังไม่ได้ขอคัดคำพิพากษา จึงส่อแสดงให้เห็นว่าการยื่นอุทธรณ์ไม่ทันภายในกำหนด มิใช่มาจากเหตุที่ทนายจำเลยที่ ๑ มีคดีที่จะต้องเขียนอุทธรณ์และทำคำแก้อุทธรณ์อีกหลายคดี ดังที่ทนายจำเลยที่ ๑ อ้างในคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ในตอนท้าย จึงถือไม่ได้ว่าตามคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑ มีพฤติการณ์พิเศษ
แม้ศาลจะสั่งยกคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ในวันยื่นคำร้อง จำเลยที่ ๑ ก็คงไม่สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ทันในวันนั้น เพราะวันดังกล่าวเป็นวันครบกำหนดยื่นอุทธรณ์และจำเลยที่ ๑ ก็ยังไม่ทราบเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลเนื่องจากยังไม่ได้ขอคัดคำพิพากษาเลย นอกจากนี้ทนายจำเลยที่ ๑ ก็ได้ลงชื่อรับทราบในคำร้องว่าให้มาฟังคำสั่งในวันที่ล่วงเลยกำหนดยื่นอุทธรณ์ แสดงว่าทนายจำเลยที่ ๑ ยอมรับผลการสั่งของศาลแล้วว่าหากศาลไม่อนุญาตจำเลยที่ ๑ ย่อมเสียสิทธิในการยื่นอุทธรณ์ ดังนั้น จำเลยที่ ๑ จะมาโต้แย้งในภายหลังหาชอบไม่ ที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องของจำเลยที่ ๑ นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยที่ ๑ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.