แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้กระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 269 วรรคแรก จะต้องเป็นผู้ประกอบการงานวิชาชีพดังที่ระบุไว้เท่านั้น จำเลยที่ 1 เป็นผู้กู้เงินจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ สาขานครปฐม ไม่ได้ประกอบวิชาชีพการประเมินราคาทรัพย์ และไม่ได้ทำคำรับรองในแบบสรุปผลการประเมินราคาหลักประกันที่ดินอาคาร ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นเพียงผู้ทำรายงานการตรวจสอบที่ดินและเสนอต่อ ผ. โดย ผ. เป็นผู้ลงลายมือชื่อรับรองในฐานะผู้ประเมิน จำเลยที่ 3 จึงไม่ได้เป็นผู้ทำคำรับรองในเอกสารดังกล่าว การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 269 วรรคแรก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๙ , ๘๓ และนับโทษจำเลยที่ ๓ ต่อจากโทษในคดีดังกล่าว
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ ๓ รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ ๓ ในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๙ วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา ๘๖ , มาตรา ๒๖๙ วรรคสอง จำเลยที่ ๓ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๙ วรรคแรกและวรรคสอง
ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๒
จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ประกอบธุรกิจประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์ จำเลยที่ ๓ เป็นพนักงานของโจทก์สาขานครปฐม โจทก์ทำสัญญารับจ้างประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์และประเมินราคาทรัพย์สินกับธนาคาร อ.
จำเลยที่ ๑ เป็นผู้กู้เงินจากธนาคาร อ. โดยใช้ที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๗๙๖๐ ตำบลโคกหม้อ จังหวัดราชบุรี เป็นหลักประกัน ธนาคาร อ. จึงส่งเรื่องให้โจทก์ทำการประเมินราคา จำเลยที่ ๑ พาจำเลยที่ ๓ ไปตรวจสอบที่ดินเสร็จแล้วจำเลยที่ ๓ ทำรายงานเสนอต่อ ผ. ลงลายมือชื่อในฐานะผู้ประเมิน และจำเลยที่ ๒ ลงลายมือชื่อในฐานะผู้จัดการ โดยจำเลยที่ ๓ เสนอราคาประเมินที่ดินมีมูลค่า ๖,๘๒๐,๐๐๐ บาท ตามสำเนาแบบสรุปผลการประเมินราคาหลักประกันที่ดินอาคาร โจทก์ได้ส่งเอกสารดังกล่าวให้ธนาคาร อ. ในที่สุดธนาคาร อ. ตกลงให้จำเลยที่ ๑ กู้เงินจำนวน ๔,๓๔๐,๐๐๐ บาท ต่อมาธนาคาร อ. แจ้งว่าราคาประเมินดังกล่าวสูงเกินความจริง โจทก์จึงออกไปตรวจสอบใหม่จึงทราบว่าที่ดินดังกล่าวมีมูลค่าเพียง ๑,๖๑๒,๐๐๐ บาท ธนาคาร อ. จึงมีหนังสือแจ้งให้โจทก์นำหลักประกันไปวางเพื่อเป็นประกันความเสียหาย
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ มีความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ แต่เห็นสมควรหยิบยกปัญหาข้อกฎหมายขึ้นวินิจฉัยก่อน กล่าวคือ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๙ วรรคแรก บัญญัติว่า “ผู้ใดในการประกอบการงานในวิชาแพทย์ กฎหมาย บัญชีหรือวิชาชีพอื่นใด ทำคำรับรองเป็นเอกสารอันเป็นเท็จ
” เห็นว่า ผู้กระทำความผิดตามมาตรานี้จะต้องเป็นผู้ประกอบการงานวิชาชีพดังที่ระบุไว้เท่านั้น จำเลยที่ ๑ เป็นผู้กู้เงินจากธนาคาร อ. ไม่ได้ประกอบวิชาชีพการประเมินราคาทรัพย์ และไม่ได้ทำคำรับรองในแบบสรุปผลการประเมินราคาหลักประกันที่ดินอาคาร ส่วนจำเลยที่ ๓ เป็นเพียงผู้ทำรายงานการตรวจสอบที่ดินและเสนอต่อ ผ. โดย ผ. เป็นผู้ลงลายมือชื่อรับรองในฐานะผู้ประเมินจำเลยที่ ๓ จึงไม่ได้เป็นผู้ทำคำรับรองในเอกสารดังกล่าว การกระทำของจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๙ ดังที่โจทก์ฟ้อง จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ จึงไม่มีความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.