คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3715/2546

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามคำฟ้องของโจทก์ได้ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดในมูลละเมิดที่ ป. กระทำต่อโจทก์ในฐานะที่จำเลยเป็นนายจ้างของ ป. โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 425 ว่า ป. เป็นลูกจ้างของจำเลยกระทำไปในทางการที่จ้างหรือตามคำสั่งของจำเลย
จำเลยฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ตามรูปคดีและศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาจำเลยดังกล่าวแล้ว คดีย่อมอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกา ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจพิพากษาคดีนี้ใหม่ การที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาใหม่เป็นการไม่ชอบ จำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 889,061 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 827,034 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า นายประสิทธิ์ไม่ได้เป็นลูกจ้างของจำเลยและไม่ได้กระทำในทางการที่จ้างของจำเลย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะนายจ้าง เมื่อจำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์แล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นอีก พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ขณะเกิดเหตุนายประสิทธิ์เป็นลูกจ้างปฏิบัติหน้าที่ขับรถในทางการที่จ้างของจำเลยจนเกิดเหตุชนกับรถของโจทก์ แต่เนื่องจากศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัยในปัญหาที่ว่า เหตุละเมิดเกิดจากฝ่ายจำเลยหรือไม่ และโจทก์ได้รับความเสียหายหรือไม่เพียงใด อันเกี่ยวพันกับทุนทรัพย์ในการใช้สิทธิอุทธรณ์ต่อไป จึงเห็นสมควรส่งสำนวนให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยปัญหาดังกล่าว แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาจำเลยเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2544
ต่อมาวันที่ 17 สิงหาคม 2544 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาใหม่โดยพิพากษาให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์จำเลย แต่ก่อนส่งสำนวนไปศาลอุทธรณ์ภาค 3 ศาลชั้นต้นได้ส่งสำนวนไปศาลฎีกาเพื่อพิจารณาฎีกาจำเลยฉบับลงวันที่ 10 สิงหาคม 2544
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ได้ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดในมูลละเมิดมีนายประสิทธิ์กระทำต่อโจทก์ในฐานะที่จำเลยเป็นนายจ้างของนายประสิทธิ์ โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 425 ว่า นายประสิทธิ์เป็นลูกจ้างของจำเลย กระทำไปในทางการที่จ้างหรือตามคำสั่งของจำเลย เมื่อจำเลยก็ให้การและนำสืบปฏิเสธความสัมพันธ์ดังกล่าวเช่นนี้ การที่พยานหลักฐานของโจกท์รับฟังไม่ได้ว่านายประสิทธิ์เป็นลูกจ้างและได้กระทำการในทางการที่จ้างของจำเลย จำเลยย่อมไม่ต้องรับผิดในผลแห่งการละเมิดของนายประสิทธิ์ต่อโจทก์ตามฟ้อง กรณีจึงไม่จำต้องให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยปัญหาอื่นตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามาไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
อนึ่ง ข้อเท็จจริงในสำนวนปรากฏว่า จำเลยฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ตามรูปคดีและศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาจำเลยดังกล่าวแล้ว คดีย่อมอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกา ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจพิพากษาคดีนี้ใหม่ การที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาใหม่ฉบับลงวันที่ 17 สิงหาคม 2544 เป็นการไม่ชอบ จำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าว
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ และให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 17 สิงหาคม 2544 ยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้รับอุทธรณ์จำเลยฉบับลงวันที่ 13 กันยายน 2544 คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ให้จำเลยทั้งหมด ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ.

Share