คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1156/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะที่จำเลยที่ 2 จดทะเบียนรับขายฝากที่ดินจากจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 2 ไม่ทราบว่านิติกรรมการโอนที่ดินระหว่างโจทก์เจ้าของที่ดินกับจำเลยที่ 1 เป็นเจตนาลวง อีกทั้งจำเลยที่ 2 รับซื้อฝากไว้ในราคาที่สูงกว่าราคาประเมินมาก ย่อมฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 รับโอนที่ดินโดยไม่สุจริต จำเลยที่ 2 จึงเป็นบุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริตและต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้น โจทก์ไม่อาจยกข้อต่อสู้เรื่องการแสดงเจตนาลวงดังกล่าวต่อจำเลยที่ 2 ได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคหนึ่ง และไม่อาจเพิกถอนนิติกรรมขายฝากได้ เมื่อการขายฝากมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ไถ่ถอน จำเลยที่ 2 โอนให้จำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ขายต่อให้จำเลยที่ 4 ดังนี้ นิติกรรมการให้และการซื้อขายก็ไม่อาจเพิกถอนได้เช่นเดียวกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนการให้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ การจดทะเบียนขายฝากระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ การจดทะเบียนการให้ระหว่างจำเลยที่ ๒ กับจำเลยที่ ๓ และการจดทะเบียนซื้อขายระหว่างจำเลยที่ ๓ กับจำเลยที่ ๔ ของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๒๘๑ ตำบลโนนตาล อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม ให้กลับคืนมาเป็นของโจทก์ หากจำเลยทั้งสี่เพิกเฉยให้ถือเอาคำพิพากษาแสดงเจตนาแทน
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๔ ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า… พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เดิมโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส. ๓ ก. เอกสารหมาย จ. ๑ วันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๓๘ โจทก์โอนที่ดินให้จำเลยที่ ๑ ต่อมาจำเลยที่ ๑ นำที่ดินไปขายฝากแก่จำเลยที่ ๒ ครบกำหนดสัญญาขายฝากแล้วจำเลยที่ ๑ ไม่ไถ่ถอนจำเลยที่ ๒ โอนที่ดินให้จำเลยที่ ๓ แล้วจำเลยที่ ๓ ขายที่ดินให้จำเลยที่ ๔ ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าโจทก์จะเพิกถอนนิติกรรมการขายฝากระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ เอกสารหมาย ล. ๕ นิติกรรมการให้ระหว่างจำเลยที่ ๒ กับจำเลยที่ ๓ เอกสารหมาย ล. ๖ นิติกรรมการซื้อขายระหว่างจำเลยที่ ๓ กับจำเลยที่ ๔ เอกสารหมาย ล. ๒ ได้หรือไม่ ข้อเท็จจริงโจทก์อ้างว่าการโอนที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นเจตนาลวงโดยโอนกรรมสิทธิ์กันหลอก ๆ เพื่อให้จำเลยที่ ๑ นำไปกู้ยืมเงินจากธนาคารหรือสถาบันการเงินแทนโจทก์ โดยมีบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ. ๒ ปัญหามีว่าจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ทราบหรือไม่ว่า โจทก์โอนที่ดินให้จำเลยที่ ๑ อันเป็นนิติกรรมอำพราง เห็นว่า จากคำพยานโจทก์และคำพยานจำเลยที่ ๔ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ขณะวันที่จำเลยที่ ๒ จดทะเบียนรับขายฝากที่ดินจากจำเลยที่ ๑ นั้น จำเลยที่ ๒ ไม่ทราบว่านิติกรรมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นเจตนาลวง ฉะนั้นจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๒ รับโอนที่ดินโดยไม่สุจริต อีกทั้งข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ ๑ ทำนิติกรรมขายฝากแก่จำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๒ รับซื้อฝากในราคา ๒๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นราคาสูงกว่าราคาประเมินมาก จำเลยที่ ๒ จึงเป็นบุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต และต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้น โจทก์จึงไม่อาจยกข้อต่อสู้เรื่องการแสดงเจตนาลวงดังกล่าวต่อจำเลยที่ ๒ ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๕ วรรคหนึ่ง โจทก์จึงไม่อาจเพิกถอนนิติกรรมการขายฝากได้ เมื่อการขายฝากมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว จำเลยที่ ๑ ไม่ไถ่ถอน จำเลยที่ ๒ โอนให้จำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๓ ขายต่อให้จำเลยที่ ๔ นิติกรรมการให้และการซื้อขายก็ไม่อาจเพิกถอนเช่นเดียวกัน ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค ๔ ยกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share