แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กำหนดระยะเวลาที่ให้ผู้รับการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินฟ้องคดีต่อศาล เพื่อแสดงให้ศาลเห็นว่าการประเมินนั้นไม่ถูกต้อง โดยต้องฟ้องภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันรับแจ้งความให้ทราบคำชี้ขาดตามมาตรา 31 วรรคแรก แห่ง พ.ร.บ. ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 นั้น เป็นกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายบัญญัติให้ผู้รับประเมินฟ้องต่อศาลและศาลในกรณีนี้คือศาลภาษีอากรกลาง กำหนดระยะเวลาดังกล่าวมิใช่อายุความฟ้องร้องตาม ป.พ.พ. บรรพ 1 ลักษณะ 6 จึงนำบทบัญญัติเรื่องอายุความสะดุดหยุดลงมาใช้บังคับไม่ได้ เมื่อโจทก์ทั้งสามมิได้ฟ้องคดีภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด แต่ยื่นคำร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์และได้มีการโอนเรื่องที่โจทก์ทั้งสามร้องทุกข์ไปเป็นคดีของศาลปกครองกลาง แล้วต่อมาศาลปกครองกลางวินิจฉัยว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองก็ตาม โจทก์ทั้งสามย่อมไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดิน ให้จำเลยคืนเงินค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินจำนวน ๒๒,๓๒๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า
ฟ้องของโจทก์ทั้งสามขาดอายุความแล้ว เพราะโจทก์ทั้งสามได้รับแจ้งคำชี้ขาดตาม มาตรา ๓๐ แห่ง พ.ร.บ. ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. ๒๔๗๕ เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๔๓ หากผู้รับประเมินคือ โจทก์ทั้งสามไม่พอใจในคำชี้ขาด จะนำคดีไปสู่ศาลเพื่อแสดงให้ศาลเห็นว่าการประเมินนั้นไม่ถูกต้องก็ได้ แต่ต้องกระทำภายในสามสิบวันนับแต่วันรับแจ้งความให้ทราบคำชี้ขาดตามมาตรา ๓๑ วรรคแรก แห่ง พ.ร.บ. ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. ๒๔๗๕ แต่โจทก์ทั้งสามนำคดีมาฟ้องต่อศาลภาษีอากรกลางเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๔๔ ซึ่งพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันที่โจทก์ทั้งสามได้รับแจ้งความให้ทราบคำชี้ขาด คดีของโจทก์ทั้งสามไม่อยู่ในบังคับของ ป.พ.พ. มาตรา ๑๙๓/๑๗ วรรคสองแต่อย่างใด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ว่า โจทก์ทั้งสามได้ยื่นคำร้องทุกข์ต่อ คณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์แล้วจึงเป็นการกระทำอื่นใดอันมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการฟ้องคดีย่อมทำให้ อายุความสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๙๓/๑๔ (๕) โจทก์ทั้งสามจึงยังไม่ฟ้องคดีต่อศาลภาษีอากรกลางเพราะถ้าโจทก์ทั้งสามฟ้องคดีต่อศาลภาษีอากรกลาง คณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์จะไม่รับเรื่องของโจทก์ทั้งสามไว้พิจารณา ตามพระราชกฤษฎีกา (ที่ถูก พ.ร.บ. คณะกรรมการกฤษฎีกา) พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๒๐ (๓) อีกทั้งขณะนั้นศาลปกครองยัง ไม่เปิดดำเนินการ จึงเป็นการพ้นวิสัยที่โจทก์ทั้งสามจะฟ้องต่อศาลปกครอง แต่เมื่อศาลปกครองกลางได้จัดตั้งขึ้นแล้วก็ได้มีการโอนเรื่องที่โจทก์ทั้งสามร้องทุกข์ไปเป็นคดีของศาลปกครองกลางตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและ วิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐๓ แม้ต่อมาศาลปกครองกลางจะวินิจฉัยว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจของ ศาลปกครอง โจทก์ทั้งสามก็ยังมีสิทธิฟ้องต่อศาลภาษีอากรกลางซึ่งเป็นศาลยุติธรรมตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐๖ และคำร้องทุกข์ของโจทก์ทั้งสามที่ยื่นต่อคณะกรรมการวินิจฉัย ร้องทุกข์ถือเป็นคำฟ้องต่อศาลปกครองกลาง เมื่อศาลปกครองกลางไม่รับคำฟ้องของโจทก์ทั้งสามเพราะเหตุคดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง โจทก์ทั้งสามย่อมมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลภาษีอากรกลางได้ภายใน ๖๐ วัน นับแต่วันที่ คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองกลางถึงที่สุด ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๙๓/๑๗ วรรคสอง โจทก์ทั้งสามจึงมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลภาษีอากรกลางได้ แม้จะพ้นกำหนด ๓๐ วัน นับแต่วันรับแจ้งคำชี้ขาดตามมาตรา ๓๑ วรรคแรก แห่ง พ.ร.บ. ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. ๒๔๗๕ พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า โจทก์ทั้งสามเป็นผู้รับประเมินให้เสียภาษี โรงเรือนและที่ดิน เมื่อโจทก์ทั้งสามไม่พอใจในการประเมินนั้นจึงได้ยื่นคำร้องต่อผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครให้พิจารณาการประเมินนั้นใหม่ เมื่อผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครมีคำชี้ขาดและแจ้งไปยังโจทก์ทั้งสามเป็น ลายลักษณ์อักษรแล้ว ถ้าโจทก์ทั้งสามไม่พอใจในคำชี้ขาดจะต้องปฏิบัติตามมาตรา ๓๑ วรรคแรก แห่ง พ.ร.บ. ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. ๒๔๗๕ คือ นำคดีไปสู่ศาลเพื่อแสดงให้ศาลเห็นว่าการประเมินนั้นไม่ถูกต้อง โดยต้องฟ้องภายใน ๓๐ วัน นับตั้งแต่วันรับแจ้งความให้ทราบคำชี้ขาด กำหนดระยะเวลาดังกล่าวเป็นระยะเวลาที่กฎหมายบัญญัติให้ผู้รับประเมินฟ้องต่อศาลและศาลในกรณีนี้คือศาลภาษีอากรกลาง กำหนดระยะเวลาดังกล่าวมิใช่อายุความฟ้องร้องตาม ป.พ.พ. บรรพ ๑ ลักษณะ ๖ จึงนำบทบัญญัติเรื่องอายุความสะดุดหยุดลงตามที่โจทก์ทั้งสามกล่าวอ้างในอุทธรณ์มาใช้บังคับไม่ได้ แม้คดีนี้จะอยู่ในอำนาจของศาลภาษีอากรกลาง แต่เมื่อโจทก์ทั้งสามมิได้ฟ้องคดีภายในเวลาที่ กฎหมายกำหนด โจทก์ทั้งสามจึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง และเมื่อวินิจฉัยดังกล่าวแล้วคดีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์ทั้งสามอีกต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสามนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสามฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ.