คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5459/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยซึ่งเป็นผู้ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้เป็นผู้ตรวจสอบกรณีโจทก์บุกรุกเข้าปลูกสร้างบ้านพักคนงานในที่ดินของทางราชการ ได้เรียกให้โจทก์เสียค่าเช่า มอบอาคารหรือบริจาคเงินเป็นค่าตกแต่งห้องทำงานสำนักงานก็ดี เป็นการบรรเทาความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของโจทก์เอง และที่จำเลยพูดว่าถ้าไม่ยอมก็ต้องรื้อถอนก็เป็นกรณีที่จำเลยแจ้งว่าจะใช้สิทธิตามกฎหมายมิใช่เป็นการข่มขืนใจ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจให้โจทก์มอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่ตนเองหรือผู้อื่น ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายตำแหน่งผู้ช่วยเกษตรจังหวัดกาญจนบุรีฝ่ายบริหาร มีหน้าที่ดูแลบริเวณสถานที่ราชการ หรืองานอื่นใดที่เกษตรจังหวัดกาญจนบุรีมอบหมาย จำเลยได้เรียกร้องเงินจากนายเกษม ชาวเมืองทอง ตัวแทนของโจทก์ ซึ่งโจทก์ได้มอบหมายให้เป็นช่างควบคุมงานก่อสร้างสะพาน หมู่ที่ ๓ตำบลปากแพรก อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ให้จ่ายเงินแก่จำเลยเป็นค่าเช่าที่ดินบริเวณที่โจทก์ปลูกบ้านพักคนงานหลายครั้งโดยจำเลยอ้างว่าเป็นที่ดินของสำนักงานเกษตรจังหวัดกาญจนบุรี โจทก์ไม่ปฏิบัติตาม ต่อมาจำเลยได้แจ้งโจทก์ให้เลือกจัดการอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๒ ประการ คือ (๑) ให้โจทก์จ่ายเงินให้จำเลยก้อนหนึ่งในลักษณะเงินบริจาค หรือ (๒) ให้โจทก์ยกบ้านพักคนงานดังกล่าวให้กับสำนักงานเกษตร จังหวัดกาญจนบุรี ถ้าโจทก์ไม่ตกลงก็ให้ทำการรื้อถอนบ้านพักคนงานออกไปจากที่ดินนั้นเสีย มิฉะนั้นจะถูกดำเนินคดี การกระทำดังกล่าวของจำเลยเป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ กระทำการข่มขืนใจหรือจูงใจผู้อื่นเพื่อให้โจทก์หรือตัวแทนโจทก์มอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่นโดยเจตนาทุจริต ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๘, ๑๕๗ และมาตรา ๙๑
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีโจทก์ไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๘ จำคุกกระทงลง ๕ ปี สองกระทง รวมจำคุก ๑๐ ปี คำเบิกความของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ หนึ่งในสาม คงจำคุก ๖ ปี ๘ เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า นางสมใจเบิกความว่า ได้ยินจำเลยพูดกับนายเกษม ว่าที่ดินซึ่งโจทก์ปลูกสร้างบ้านพักคนงานเป็นที่ดินของสำนักงานเกษตรจังหวัดกาญจนบุรีต้องเสียค่าเช่า และนายเกษมเบิกความว่า จำเลยให้ไปติดต่อกับทางสำนักงานเกษตรจังหวัดกาญจนบุรีนายวิสิษฐ์เบิกความว่า เมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๒๗ พยานไปที่สำนักงานเกษตรจังหวัดกาญจนบุรี พบเจ้าหน้าที่การเงินของสำนักงานดังกล่าว เจ้าหน้าที่การเงินบอกว่ารับค่าเช่าไว้ไม่ได้เพราะจะต้องนำส่งคลังจังหวัด ต่อมาพบจำเลย จำเลยบอกว่าไม่เอาค่าเช่าแต่เปลี่ยนเป็นให้บริจาคเงินตกแต่งห้องทำงานของสำนักงานเกษตรจังหวัดกาญจนบุรี หรือมอบอาคารบ้านพักคนงานแก่สำนักงานเพื่อใช้เป็นที่พักเจ้าหน้าที่ จากคำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวนี้ชี้ให้เห็นว่า จำเลยไม่มีเจตนาที่จะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ดังกล่าวเอาไว้สำหรับตนเองหรือผู้อื่น และจำเลยมีความประสงค์ที่จะให้มีการปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ ดังจะเห็นได้ว่าจำเลยแจ้งให้ฝ่ายโจทก์มาติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของสำนักงานเกษตรจังหวัดกาญจนบุรีเป็นทางราชการ ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยได้รับมอบหมายจากเกษตรจังหวัดซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยให้ตรวจสอบว่ามีผู้บุกรุกที่ดินพิพาทหรือไม่ การที่โจทก์บุกรุกเข้ามาปลูกบ้านพักคนงานในที่ดินดังกล่าวจึงชอบที่จำเลยจะต้องว่ากล่าวและเจรจากับโจทก์เพื่อบรรเทาความเสียหายในเรื่องนี้การที่โจทก์จะต้องเช่าที่ดินพิพาท มอบอาคารดังกล่าวให้แก่สำนักงานเกษตรจังหวัดกาญจนบุรีหรือบริจาคเงินเป็นค่าตกแต่งห้องทำงานสำนักงานดังกล่าวก็ดี เป็นการบรรเทาความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของโจทก์เอง และที่โจทก์อ้างว่าจำเลยพูดว่าถ้าไม่ยอมก็จะต้องรื้อถอนนั้น ถึงแม้เป็นการพูดจริงก็เป็นกรณีที่จำเลยแจ้งว่าจะใช้สิทธิตามกฎหมายหาเป็นการข่มขืนใจแต่ประการใดไม่การกระทำของจำเลยตามที่พิจารณาได้ความจึงไม่เป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจให้ตัวแทนของโจทก์มอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่ตนเองหรือผู้อื่น การกระทำของจำเลยตามที่พิจารณาได้ความดังกล่าวข้างต้น จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๘ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share