คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5444/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในชั้นขอให้พิจารณาใหม่ เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่า จำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ก็ต้องถือตามทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในคดีเป็นหลักในการพิจารณาว่าเป็นคดีที่ฎีกาได้หรือไม่ เมื่อทุนทรัพย์ในคดีเป็นเงินไม่เกินห้าหมื่นบาท จำเลยจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
จำเลยฎีกาว่าไม่ได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาอันเป็นข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจะรับวินิจฉัยหาได้ไม่.

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้เป็นเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้องจำนวน ๘,๕๐๐ บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จสิ้น จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์จำนวน ๔๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ อ้างว่าจำเลยรับหมายไว้โดยไม่ทราบว่าเป็นหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง เพราะจำเลยอ่านหนังสือไม่ได้ สายตาพร่ามัว หลงลืม ไม่อยู่บ้านและจำเลยไม่ทราบวันนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา มีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาว่าจำเลยมีอายุมาก ไร้การศึกษาตามัว อ่านหนังสือไม่เห็น จำเลยลงลายมือชื่อรับหมายเรียกสำเนาคำฟ้องโดยไม่ทราบว่าเป็นหมายเรียกสำเนาคำฟ้อง จำเลยไม่เคยเห็นหมายนัดสืบพยานโจทก์เลย และหลงลืมไม่ทราบว่าต้องยื่นคำให้การ และต่อสู้คดีอย่างไร จำเลยไม่ได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา อันเป็นข้อเท็จจริงเห็นว่า แม้ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาในชั้นดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้น ไม่ใช่ปัญหาในประเด็นที่พิพาทตามคำฟ้องและคำให้การ แต่เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ก็ต้องถือตามทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในคดีเป็นหลักในการพิจารณาว่า เป็นคดีที่ฎีกาได้หรือไม่ เมื่อทุนทรัพย์ในคดีนี้เป็นเงิน ๔๘,๕๐๐ บาท จำเลยจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา๒๔๘ ศาลฎีกาจะรับวินิจฉัยหาได้ไม่
พิพากษายกฎีกาของจำเลย.

Share