แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ปัญหาเรื่องฟ้องซ้ำแม้คู่ความไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์และโจทก์ไม่ได้ฎีกาปัญหานี้ แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเอง
ศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีก่อนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินมรดกให้แก่จำเลยคดีนี้จำนวน 2 ไร่ 2 งาน คดีถึงที่สุด ปัญหาที่ว่าจำเลยมีสิทธิได้รับแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินจำนวนเนื้อที่เท่าใดจึงเป็นประเด็นแห่งคดีในคดีก่อน ในชั้นบังคับคดีของคดีก่อนโจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีก่อนยื่นคำคัดค้านขอให้ศาลชั้นต้นแก้ไขหมายบังคับคดีและมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเฉลี่ยลดเนื้อที่ลงตามส่วนเพราะเนื้อที่ดินมรดกขาดไป 239 ตารางวาศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยคดีก่อนอุทธรณ์คำสั่ง ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้การที่โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีก่อนยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นบังคับคดีในคดีก่อนแล้ว กลับนำคดีมาฟ้องใหม่เป็นคดีนี้โดยมีประเด็นแห่งคดีว่า จำเลยมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งกรรมสิทธิ์ จำนวน 2 ไร่ 2 งานเต็มตามคำพิพากษาในคดีก่อนหรือไม่ ซึ่งเป็นการฟ้องซ้ำกับคดีก่อนของศาลชั้นต้นต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองและจำเลยเป็นผู้ได้รับทรัพย์มรดกที่ดิน โฉนดที่ ๗๖ เนื้อที่ ๖ ไร่ ๓ งาน ๑๒ ตารางวา ตามพินัยกรรมของนางสุดใจ นาคถาวร โดยโจทก์ที่ ๑ ได้รับที่ดินตอนกลางเนื้อที่ ๒ ไร่ ๒ งาน โจทก์ที่ ๒ ได้รับที่ดินทางทิศตะวันออกเนื้อที่ ๑ ไร่ ๓ งาน ๑๒ ตารางวา จำเลยได้รับที่ดินด้านทิศตะวันตกเนื้อที่ ๒ ไร่ ๒ งาน หลังจากนางสุดใจถึงแก่กรรมแล้ว จำเลยได้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ทั้งสองเป็นจำเลยขอให้แบ่งแยกที่ดินให้ตามพินัยกรรม ศาลพิพากษาให้โจทก์ทั้งสองแบ่งแยกที่ดินให้จำเลยตามส่วนเฉลี่ยในพินัยกรรม โจทก์ทั้งสองและจำเลยได้ไปติดต่อกับเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครปฐมขอแบ่งแยกที่ดิน โจทก์ทั้งสองและจำเลยตกลงกันว่าการแบ่งแยกที่ดินตามพินัยกรรมหากเนื้อที่มีมากหรือน้อยให้เฉลี่ยไปตามส่วน เมื่อมีการรังวัดที่ดินรอบแปลงแล้วปรากฏว่าที่ดินตามพินัยกรรมขาดหายไป ๙ ตารางวา นอกจากนี้ศาลจังหวัดนครปฐมพิพากษาว่า ที่ดินตามพินัยกรรมเนื้อที่ ๒๓๐ ตารางวา เป็นที่ดินที่อยู่ในเขตโฉนดของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์อยู่ในระหว่างอุทธรณ์ เมื่อหักที่ดินตามพินัยกรรมส่วนที่ขาดหายไป ๙ตารางวากับที่ดินของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ๒๓๐ ตารางวาแล้วจะเหลือที่ดินตามพินัยกรรม ๖ ไร่ ๗๓ ตารางวา เมื่อเฉลี่ยตามส่วนในพินัยกรรมแล้ว ที่ดินส่วนที่ขาดหายไปจะตกเป็นส่วนของจำเลย๘๙ ตารางวา ราคาประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยได้ขอหมายบังคับคดีแต่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการแบ่งแยกที่ดินตามพินัยกรรมแล้วรังวัดเอาที่ดินด้านทิศตะวันตกเป็นของตน เนื้อที่ ๒ ไร่๒ งาน โจทก์ทั้งสองได้ยื่นคัดค้านในคดีนั้นและได้ฟ้องเป็นคดีนี้ขอให้พิพากษาว่า จำเลยไม่มีสิทธิที่จะบังคับแบ่งที่ดินตามพินัยกรรมให้ได้เต็ม ๒ ไร่ ๒ งาน และจะต้องเฉลี่ยส่วนที่ขาดไปกับบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามข้อตกลงใหม่ ขอให้ศาลสั่งกันที่ดิน ๘๙ ตารางวาไว้ก่อน จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด วินิจฉัยว่าที่พิพาท ๒๓๐ตารางวาอยู่ในโฉนดตามพินัยกรรมทั้งหมดหรือบางส่วนแล้วจึงจะคืนให้จำเลยไปทั้งหมดหรือเฉลี่ยคืนให้จำเลยไปแล้วแต่กรณีถ้าจำเลยไม่ยอมปฏิบัติตามคำพิพากษาให้ถือเอาคำพิพากษานี้แสดงเจตนาแทนจำเลย
จำเลยให้การว่า ฟ้องของโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๙๖/๒๕๒๕ ของศาลจังหวัดนครปฐม ศาลจังหวัดนครปฐมได้มีคำบังคับให้โจทก์ทั้งสองปฏิบัติตามคำบังคับในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๙๖/๒๕๒๕ โจทก์ทั้งสองไม่คัดค้านและยินยอมให้จำเลยทำการรังวัดได้เนื้อที่ ๒ ไร่ ๒ งาน การที่ที่ดินขาดหายไปเป็นเรื่องที่โจทก์ที่ ๒ จะต้องรับผิดแต่ผู้เดียว
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๙๖/๒๕๒๕ ของศาลจังหวัดนครปฐม โจทก์ทั้งสองและจำเลยได้แถลงกันตามรายงานกระบวนพิจารณาในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๕๕๓/๒๕๒๖ ลงวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๒๗ ตามสำเนารายงานกระบวนพิจารณา เอกสารหมาย จ.๑๐ หรือ ล.๑ โดยโจทก์ทั้งสองมีเจตนาจะให้จำเลยได้รับที่ดินตามโฉนดที่ ๗๖ เนื้อที่ ๒ ไร่๒ งาน โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิที่จะขอเฉลี่ยที่ดินในส่วนที่ขาดจากจำเลย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสองและจำเลยได้รับทรัพย์มรดกที่ดินโฉนดที่ ๗๖ ตำบลสระน้ำจัน อำเภอพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม ตามพินัยกรรมของนางสุดใจ นาคถาวรต่อมาวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๒๕ จำเลยได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องโจทก์ทั้งสองต่อศาลจังหวัดนครปฐม ศาลจังหวัดนครปฐมได้มีคำพิพากษาในคดีนั้นให้โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นจำเลยในคดีนั้นแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ร่วมที่ดินโฉนดที่ ๗๖ แก่จำเลยซึ่งเป็นโจทก์ในคดีนั้นเป็นเนื้อที่ ๒ ไร่๒ งาน ให้ส่วนของจำเลยอยู่ทางทิศตะวันตกติดถนนราชวิถี ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ ๑๙๖/๒๕๒๕ เมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์๒๕๒๕ โจทก์ทั้งสองและจำเลยได้ทำบันทึกแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมกันว่าโจทก์ที่ ๑ และจำเลยได้รับส่วนแบ่งที่ดินคนละ ๒ ไร่ ๒ งาน โจทก์ที่ ๒ ได้รับส่วนแบ่งที่ดิน ๑ ไร่ ๓ งาน ๑๒ ตารางวา หากเนื้อที่มากหรือน้อยให้เฉลี่ยไปตามส่วน ต่อมาพนักงานรังวัดได้ไปรังวัดที่ดินและพบว่า ที่ดินมีเนื้อที่น้อยกว่าที่ระบุไว้ในโฉนดจำนวน ๙ตารางวา นอกจากนี้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์คัดค้านว่าการรังวัดได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จำนวน ๒๓๐ ตารางวา ต่อมาสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้ยื่นฟ้องจำเลยและโจทก์ทั้งสองต่อศาลจังหวัดนครปฐม และศาลจังหวัดนครปฐมได้มีคำพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นเหตุให้ที่ดินมรดกตามพินัยกรรมขาดหายไปรวมจำนวน ๒๓๙ ตารางวา ในระหว่างพิจารณาคดีดังกล่าวโจทก์ทั้งสองและจำเลยได้แถลงรับว่า ที่ดินมรดกตามพินัยกรรม จำเลยและโจทก์ที่ ๑ ในคดีนี้ได้เนื้อที่ ๒ ไร่ ๒ งานส่วนที่เหลือเป็นของโจทก์ที่ ๒ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จึงได้ถอนฟ้องจำเลยและศาลอนุญาตหลังจากนั้น จำเลยซึ่งเป็นโจทก์ในคดีหมายเลขแดงที่ ๑๙๖/๒๕๒๕ ได้บังคับคดีโดยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีและพนักงานรังวัดไปทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินให้จำเลยได้รับส่วนแบ่งเนื้อที่ ๒ ไร่ ๒ งานมีเนื้อที่ด้านทิศตะวันตกติดถนนกว้าง๓๒ เมตร โจทก์ทั้งสองยื่นคำคัดค้านในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่๑๙๖/๒๕๒๕ ขอให้ศาลแก้ไขหมายบังคับคดีและมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเฉลี่ยลดเนื้อที่ลงตามส่วนที่ขาดไป ๒๓๙ ตารางวา เมื่อลดแล้วจำเลยจะได้ที่ดิน ๒ ไร่ ๑ งาน ๑๑ ตารางวา ศาลจังหวัดนครปฐมมีคำสั่งยกคำร้อง โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นจำเลยคดีนั้นอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ทั้งสองได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ต่อมาข้อพิพาทในชั้นบังคับคดีในคดีหมายเลขแดงที่๑๙๖/๒๕๒๕ ของศาลจังหวัดนครปฐมได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดโดยคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๙๐๑/๒๕๒๕ แล้วมีปัญหาว่า คดีนี้ฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๙๖/๒๕๒๕ ของศาลจังหวัดนครปฐมหรือไม่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าไม่เป็นฟ้องซ้ำคู่ความไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์และโจทก์ทั้งสองก็ไม่ได้ฎีกาปัญหานี้ขึ้นมา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเอง ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ในคดีหมายเลขแดงที่ ๑๙๖/๒๕๒๕ ของศาลจังหวัดนครปฐมคือจำเลยคดีนี้และจำเลยทั้งสองในคดีดังกล่าวคือโจทก์ทั้งสองในคดีนี้ จึงเป็นคู่ความเดียวกันทั้งสองคดี ประเด็นแห่งคดีนั่นก็เป็นเรื่องที่จำเลยคดีนี้ฟ้องโจทก์ทั้งสองในคดีนี้ให้แบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่จำเลยในคดีนี้เนื้อที่ ๒ ไร่ ๒ งานศาลจังหวัดนครปฐมก็ได้พิพากษาให้โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นจำเลยในคดีนั้นแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินมรดกตามโฉนดที่ ๗๖ ให้แก่จำเลยคดีนี้จำนวนเนื้อที่ ๒ ไร่ ๒ งาน คดีถึงที่สุดตามสำเนาคำพิพากษาเอกสารหมาย จ.๓ ปัญหาที่ว่าจำเลยมีสิทธิได้รับแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินจำนวนเนื้อที่เท่าใดจึงเป็นประเด็นแห่งคดีในคดีหมายเลขแดงที่๑๙๖/๒๕๒๕ ส่วนโจทก์ในคดีนั้นจะมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งกรรมสิทธิ์จำนวน๒ ไร่ ๒ งาน เต็มตามคำพิพากษาหรือไม่เป็นรายละเอียดที่จะต้องว่ากล่าวกันในชั้นบังคับคดี ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นคู่ความก็ชอบที่จะต้องดำเนินการในคดีหมายเลขแดงที่ ๑๙๖/๒๕๒๕ หากศาลจังหวัดนครปฐมมีคำสั่งเกี่ยวกับการบังคับคดีประการใดคู่ความฝ่ายใดไม่เห็นด้วยก็ชอบที่จะอุทธรณ์ฎีกาต่อไป การที่โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นจำเลยในคดีนั้นยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นบังคับคดีในคดีหมายเลขแดงที่๑๙๖/๒๕๒๕ ซึ่งถึงที่สุดแล้วกลับนำคดีมาฟ้องใหม่เป็นคดีนี้โดยมีประเด็นแห่งคดีว่า จำเลยมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินจำนวน ๒ ไร่ ๒ งานเต็มตามคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ ๑๙๖/๒๕๓๐หรือไม่ จึงเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุเดียวกัน เป็นการฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ ๑๙๖/๒๕๓๐ของศาลจังหวัดนครปฐมต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๔๘ ชอบที่ศาลจะพิพากษายกฟ้องเสีย ศาลล่างทั้งสองรับวินิจฉัยคดีของโจทก์มาเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ทั้งสองต่อไป
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองและให้ยกฟ้องโดยไม่วินิจฉัยประเด็นแห่งคดีตามฟ้อง