คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5197/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานในวันนัดสืบพยาน ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับแต่เห็นว่าจำเลยมีสิทธิอ้างตนเองเป็นพยาน จึงอนุญาตให้ ส. ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการของจำเลยเข้าเบิกความเป็นพยาน เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลรับฟังคำเบิกความของ ส. มาพิจารณาด้วยได้
เมื่อเอกสารที่โจทก์อ้างเป็นพยานเป็นเอกสารที่โจทก์ได้ส่งอ้างต่อศาลไว้แล้วในชั้นไต่สวนขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาเอกสารดังกล่าวจึงเป็นเอกสารที่อยู่ในความครอบครองของบุคคลภายนอกที่จำเลยสามารถตรวจตราให้ทราบได้โดยง่ายถึงความมีอยู่และแท้จริงแห่งเอกสาร โจทก์จึงไม่ต้องส่งสำเนาเอกสารนี้ให้แก่จำเลย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ค่าซื้อน้ำมันเบนซินน้ำมันหล่อลื่น และค่าบริการเติมน้ำมันดีเซลรวมจำนวน ๑๒๘,๓๐๐.๕๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยซื้อน้ำมันดังกล่าวจากโจทก์โจทก์ไม่มีเอกสารให้ตรวจ จึงไม่ทราบว่าข้ออ้างของโจทก์เป็นจริงหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๑๒๘,๓๐๐.๕๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า นางสมทรงเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทจำเลย ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เข้าเบิกความเป็นพยานจำเลยเพราะเห็นว่าเป็นตัวจำเลยมีสิทธิอ้างตนเองเป็นพยานได้ แม้การยื่นบัญชีระบุพยานจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย คำสั่งนี้เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาโจทก์มิได้คัดค้านคำสั่งนี้เพื่อใช้สิทธิในการอุทธรณ์ฎีกาต่อไป และโจทก์ก็ไม่ได้อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งนี้ ดังนั้นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลรับฟังคำเบิกความของนางสมทรงมาพิจารณาด้วยได้ที่ศาลอุทธรณ์ยกเหตุการยื่นบัญชีพยานจำเลยไม่ชอบขึ้นวินิจฉัยไม่รับฟังคำเบิกความของนางสมทรง ศาลฎีกาไม่เห็นฟ้องด้วย
สำหรับปัญหาว่าเอกสารหมาย จ. ๒ ถึง จ. ๑๓ โจทก์มิได้ส่งสำเนาให้จำเลยนั้นปรากฏว่าเอกสารหมาย จ.๒ เป็นเอกสารที่โจทก์อ้างตามบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ ๑ ลงวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๘ซึ่งตามบัญชีระบุพยานนี้อันดับ ๓ ระบุว่า เป็นใบรับสินค้าโจทก์จำนวน ๓๕๐ ฉบับ อยู่ที่ศาล เอกสารเหล่านี้ โจทก์ส่งอ้างต่อศาลชั้นต้นในชั้นไต่สวนขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา ก่อนที่โจทก์จะยื่นบัญชีระบุพยานดังกล่าวข้างต้น ดังนั้น เอกสารหมาย จ.๒จึงเป็นเอกสารที่อยู่ในความครอบครองของบุคคลภายนอกที่จำเลยสามารถตรวจตราให้ทราบโดยง่ายถึงความมีอยู่และความแท้จริงแห่งเอกสารนี้ โจทก์จึงไม่ต้องส่งสำเนาเอกสารหมาย จ.๒ ให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๐(๑) (๒) แต่ส่วนเอกสารหมาย จ.๓ ถึง จ.๑๓ โจทก์อ้างเหตุที่ไม่ส่งสำเนาให้จำเลยว่าเพราะเป็นเอกสารที่จำเลยทำขึ้นเองนั้น เห็นว่าเป็นการกล่าวอ้างของโจทก์ฝ่ายเดียว จำเลยไม่ยอมรับโดยให้การว่าไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ โจทก์ไม่มีเอกสารให้ตรวจ จำเลยไม่ทราบว่าข้ออ้างของโจทก์เป็นจริงหรือไม่ เอกสารปลอมหรือไม่เท่ากับว่าจำเลยยังไม่ทราบว่าโจทก์มีเอกสารใดมาเป็นพยานบ้าง โจทก์จึงต้องส่งสำเนาเอกสารให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๐ วรรคแรก เมื่อจำเลยให้การดังกล่าวแล้วโจทก์ยังไม่ส่งสำเนาเอกสารให้จำเลยถือได้ว่าโจทก์จงใจฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายย่อมไม่มีเหตุที่ควรยกประโยชน์แห่งความยุติธรรมมารับฟังพยานเอกสารดังกล่าวของโจทก์ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงต่อไปแล้วฟังว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ ๑๑๑,๑๗๘.๙๐ บาท
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๑๑๑,๑๗๘.๙๐ บาทแก่โจทก์นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share