แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยในความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2521 มีกำหนด 1 เดือน และความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 รวม 5 กระทงจำคุกกระทงละ 2 ปี ความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2521 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนส่วนความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนพิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวและลงโทษจำคุกมีกำหนด 2 ปี ความผิดทั้งสองฐานจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก
การที่จำเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมานั้นยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นคนรับสมัครไปทำงานและรับเงินค่าบริการจากโจทก์ร่วมและผู้เสียหาย พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบมานั้นฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ว่าจำเลยมิได้หลอกลวงโจทก์ร่วมและผู้เสียหาย ทั้งมิได้รับเงินไว้เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ขอให้ศาลฎีการับฟังพยานเอกสารต่าง ๆ ที่จำเลยส่งมาพร้อมฎีกาและขอให้รอการลงโทษจำเลยนั้น เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการฟังพยานหลักฐานและการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้าม
จำเลยหลอกลวงว่าสามารถจัดส่งผู้เสียหายไปทำงานต่างประเทศได้ผู้เสียหายแต่ละคนหลงเชื่อจึงมาสมัครงานกับจำเลยและมอบเงินค่าบริการให้ตามที่จำเลยเรียกร้อง โดยกระทำในวันเวลาที่แตกต่างกันรวม 5 ครั้ง แต่ละครั้งจำเลยหลอกลวงประชาชนต่างกลุ่มกันผู้เสียหายแต่ละกลุ่มมาสมัครงานและมอบเงินแก่จำเลยต่างวันเวลากัน เป็นการกระทำโดยเจตนาให้เกิดผลต่อประชาชนแต่ละกลุ่มแยกต่างหากจากกันต่างกรรมต่างวาระ เป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนรวม 5 กระทง.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑, ๓๔๑,๓๔๓ พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๑๑ มาตรา ๗,๒๗ พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๔,๓๐, ๘๒ กับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๔๓๘,๐๐๐ บาท แก่ผู้เสียหายด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างการพิจารณา นายสนิท บำรุงไทย นายสมคิด ศรีชมชื่นนายสุบิน แนวโอโล นายดา นิลพงษ์ นายโอเลี้ยง อาจวงศ์นายศิริชัย รัศมีจันทร์ นายสุดิน พรมเมตตา นายหลวง ประวันทศรีนายเสน่ห์ กระลาม และนายอ่อน ชัยเหนือ ผู้เสียหายร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๑๑ มาตรา ๗, ๒๗ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑, ๓๔๓ และ ๙๑ ลงโทษฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก ๑ เดือน ฐานฉ้อโกงประชาชน ๕ กรรม จำคุกกรรมละ ๒ ปี เป็นจำคุก ๑๐ ปี รวมโทษทั้งหมดจำคุก ๑๐ ปี ๑ เดือนให้จำเลยคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหายตามที่ผู้เสียหายแต่ละคนต้องเสียหายตามฟ้อง รวมเป็นเงิน ๔๓๘,๐๐๐ บาท นอกจากนี้ให้ยกฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนนั้นจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๓ วรรคแรกเพียงกรรมเดียว ลงโทษสำหรับความผิดฐานนี้ จำคุก ๒ ปี รวมกับโทษฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นจำคุกจำเลยทั้งสิ้น ๒ ปี ๑ เดือนนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยในกระทงความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๑๑ มีกำหนด ๑ เดือน และลงโทษจำเลยในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๓รวม ๕ กระทง จำคุกจำเลยกระทงละ ๒ ปี สำหรับความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๑๑ นั้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาส่วนความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียว และลงโทษจำคุกจำเลยในกระทงความผิดนี้มีกำหนด ๒ ปี จึงเป็นคดีที่ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๘ วรรคแรก และวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๑๑ พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมานั้นยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยเป็นคนรับสมัครไปทำงานและรับเงินค่าบริการจากโจทก์ร่วมและผู้เสียหาย ส่วนความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนพยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบมานั้นฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ว่า จำเลยมิได้หลอกลวงโจทก์ร่วมและผู้เสียหาย ทั้งมิได้รับเงินไว้เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง และขอให้ศาลฎีการับฟังพยานเอกสารต่าง ๆ ที่จำเลยส่งมาพร้อมฎีกา และขอให้รอการลงโทษไว้ เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการฟังพยานหลักฐานและการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายที่กล่างข้างต้นปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดต่างกรรมกันหรือไม่ ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๒ ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลย ภริยาจำเลย นายแพงตา และนายเดชต่างได้แยกย้ายกันออกไปชักชวนผู้เสียหายให้มาสมัครงานกับจำเลยโดยหลอกลวงว่าจำเลยสามารถจัดส่งผู้เสียหายไปทำงานในต่างประเทศได้ ผู้เสียหายแต่ละคนหลงเชื่อจึงสมัครงานกับจำเลย และมอบเงินค่าบริการตามที่จำเลยเรียกร้องให้แก่จำเลย ซึ่งการกระทำของจำเลยดังกล่าวจำเลยได้กระทำในวันเวลาที่แตกต่างกันรวม ๕ ครั้ง และแต่ละครั้งจำเลยได้หลอกลวงประชาชนต่างกลุ่มกัน และผู้เสียหายแต่ละกลุ่มก็มาสมัครงานและมอบเงินแก่จำเลยต่างวันเวลากัน ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยหลอกลวงประชาชนรวม ๕ กลุ่ม ในวันเวลาที่แตกต่างกันเช่นนี้ เห็นได้ว่า จำเลยกระทำโดยมีเจตนาให้เกิดผลต่อประชาชนแต่ละกลุ่มแยกต่างหากจากกัน อันนับว่าเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนรวม๕ กระทง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา๓๔๓ วรรคแรก รวม ๕ กระทง จำคุกกระทง ๒ ปี สำหรับความผิดฐานนี้รวมจำคุก ๑๐ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.