คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4780/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 ก่อสร้างต่อเติมอาคารพิพาทผิดแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตเจ้าพนักงานมีคำสั่งให้รื้อถอน จำเลยที่ 2 เพิกเฉย ต่อมาจำเลยที่ 1 รับโอนอาคารพิพาทมา แม้จำเลยที่ 1 จะไม่รู้เห็นในการต่อเติมอาคารดังกล่าว แต่เมื่อเจ้าพนักงานของโจทก์มีคำสั่งแจ้งให้จำเลยที่ 1 รื้อถอนแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ยอมรื้อถอน โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องคดีขอให้บังคับให้จำเลยที่ 1 รื้อถอนอาคารพิพาทได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ มีอำนาจหน้าที่พิจารณาและออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคารสั่งให้รื้อถอน และตลอดจนร้องขอต่อศาลเพื่อบังคับการก่อสร้างอาคารให้เป็นไปตามจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองอาคารพิพาทห้องเลขที่ ๕๙๖/๑๑ ซอยพระพิศาล ถนนท่าดินแดง แขวงคลองสานเขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร โดยซื้ออาคารและที่ดินที่ตั้งอาคารมาจากจำเลยที่ ๒ กับพวก จำเลยที่ ๒ ได้รับอนุญาตให้ปลูกสร้างอาคารพิพาทมีที่ว่างปราศจากสิ่งปกคลุมหลังอาคารกว้างระหว่าง ๓ เมตรถึง ๔.๕๐เมตร วันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๒ เจ้าหน้าที่ของโจทก์พบว่าจำเลยที่ ๒ได้ทำการก่อสร้างต่อเติมอาคารพิพาทผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตโดยสร้างอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก ๓ ชั้น สูง ๘ เมตร กว้าง ๓ เมตรยาว ๓ เมตร เชื่อมต่อจากความยาวของอาคารเดิมยื่นออกไปเป็นเหตุให้มีที่ว่างหลังอาคารกว้างไม่ถึง ๒ เมตร ตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ข้อ ๗๖(๔)อันเป็นกรณีที่ไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงและออกใบอนุญาตให้ได้โจทก์ได้มีคำสั่งให้จำเลยที่ ๒ หยุดทำการก่อสร้างอาคารและรื้อถอนอาคารที่ก่อสร้างผิดแบบแปลน จำเลยที่ ๒ ทราบคำสั่งแล้วไม่ปฏิบัติตามวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๒๓ จำเลยที่ ๑ ได้รับโอนกรรมสิทธิ์อาคารพิพาทจากจำเลยที่ ๒ โจทก์แจ้งคำสั่งให้จำเลยที่ ๑ รื้อถอนภายใน ๔๕ วันจำเลยที่ ๑ เพิกเฉยและมิได้อุทธรณ์คำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เกี่ยวกับการก่อสร้างอาคารตามกฎหมายขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรื้อถอนอาคารส่วนดัดแปลงต่อเติมผิดแบบแปลน กว้าง ๔ เมตร สูง ๑๑ เมตร ยาว ๓ เมตร ที่ไม่ได้รับอนุญาตออกจากอาคารพิพาท หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติให้โจทก์รื้อถอนได้เอง โดยจำเลยทั้งสองเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการรื้อถอน
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นการให้การ ส่วนจำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นทำให้การ และขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรื้อถอนอาคารส่วนที่ดัดแปลงต่อเติมผิดแบบแปลนกว้าง ๔ เมตร สูง ๑๑ เมตรยาว ๓ เมตร โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นออกจากอาคารพิพาทหากจำเลยทั้งสองไม่ยอมรื้อถอนให้โจทก์รื้อถอนได้เอง โดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการรื้อถอน
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่า เมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๒ เจ้าหน้าที่ของโจทก์ได้ตรวจพบการปลูกสร้างอาคารพิพาทโดยมีการต่อเติมอาคารปิดทางเดินหลัง กว้าง ๔ เมตร ยาว ๓เมตร สูง ๑๑ เมตร ไม่ถูกต้องตามแบบที่ได้รับอนุญาต จำเลยที่ ๑เป็นผู้ทำการก่อสร้างเจ้าหน้าที่ของโจทก์บอหใ้จำเลยที่ ๒ระงับการก่อสร้าง และนายชัยโรจน์ โตมานะ ผู้ช่วยผู้อำนายการเขตคลองสานมีหนังสือแจ้งจำเลยที่ ๒ ให้ทำการรื้อถอนส่วนที่ต่อเติม จำเลยที่ ๒ไม่ทำการรื้อถอนโจทก์จึงร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ ๒ ฐานปลูกสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลแขวงธนบุรีพิพากษาลงโทษปรับจำเลยที่ ๒ เป็นเงิน ๘,๔๐๐ บาท ปัจจุบันจำเลยที่ ๑ครอบครองอาคารพิพาทและยังไม่มีการรื้อถอนอาคารพิพาทส่วนที่ต่อเติม
ข้อที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า จำเลยที่ ๑ ไม่มีส่วนรู้เห็นกับจำเลยที่ ๒ ในการที่จำเลยที่ ๒ ต่อเติมอาคารพิพาทผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต จำเลยที่ ๑ รับโอนอาคารพิพาทจากจำเลยที่ ๒ โดยสุจริตโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๑ นั้นเห็นว่า ปัจจุบันอาคารพิพาทส่วนที่ต่อเติมผิดแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตปรากฏว่ายังมิได้ทำการรื้อถอน ความผิดดังกล่าวคงมีอยู่ตลอดไปจนกว่าจะทำการรื้อถอนเสร็จ ประกอบกับเจ้าพนักงานของโจทก์ได้แจ้งคำสั่งแก่จำเลยที่ ๑ ให้รื้อถอนส่วนที่ต่อเติมผิดแบบแปลนนั้นตามขั้นตอนตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ แล้ว แม้จำเลยที่ ๑ ไม่มีส่วนรู้เห็นในการต่อเติมอาคารดังกล่าว แต่จำเลยที่ ๑ ก็เป็นเจ้าของอาคารพิพาท โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องให้รื้อถอนอาคารพิพาทได้ ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๒ วรรคสาม หาเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่ฎีกาจำเลยที่ ๑ ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน.

Share