คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3296/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อจำเลยรับว่าเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถคันเกิดเหตุจำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากรถที่รับประกันภัยไว้ไปก่อให้เกิดขึ้น ตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย การที่จำเลยรับประกันภัยรถคันดังกล่าวจากผู้ใด เป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยทราบอยู่แล้ว แม้ฟ้องของโจทก์จะไม่ได้บรรยายว่าผู้ใดเป็นผู้เอาประกันภัย ก็ไม่ทำให้เป็นฟ้องเคลือบคลุม
เมื่อจำเลยแพ้คดี จำเลยต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งศาลจะเป็นผู้ใช้ดุลพินิจกำหนดโดยคำนึงถึงเหตุผลสมควรและความสุจริตในการสู้ความหรือการดำเนินคดี ทั้งไม่เกี่ยวกับข้อจำกัดความรับผิดเรื่องค่าเสียหายตามวงเงินที่กำหนดไว้ในเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยของจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลและเป็นผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุก ๖ ล้อคันเกิดเหตุ จำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๓ เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุก ๖ ล้อดังกล่าว เมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๒๖ นายไชโยได้ขับรถยนต์บรรทุก๖ ล้อ ตามทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ เข้าไปในเส้นทางเดินรถที่สวนมา เป็นเหตุให้รถคันดังกล่าวพุ่งเข้าชนรถยนต์บรรทุก ๑๐ ล้อ ของโจทก์ที่ ๒ ซึ่งโจทก์ที่ ๑ เป็นผู้ขับและโจทก์ที่ ๒ นั่งมาด้วยโจทก์ที่ ๑ ได้รับบาดเจ็บและรถของโจทก์ที่ ๒ ได้รับความเสียหายจึงขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ ๑ เป็นเงิน๖๓,๐๐๐ บาท ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ ๒ เป็นเงิน ๒๕๘,๖๐๐ บาท และให้ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีสำหรับค่าเสียหายจำนวนดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ให้การว่า นายไชโยมิใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ รถยนต์บรรทุก ๖ ล้อเป็นรถของผู้อื่นนำมารับจ้าง จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ บรรทุกสิ่งของเป็นครั้งคราว โจทก์ที่ ๑เป็นฝ่ายขับรถเข้าไปในเส้นทางเดินรถของรถยนต์บรรทุก ๖ ล้อ จึงเป็นเหตุให้รถเฉี่ยวชนกันหากมีความเสียหาย จำเลยที่ ๓ ผู้รับประกันภัยต้องเป็นผู้รับผิด คำฟ้องเกี่ยวกับความเสียหายของโจทก์แต่ละคนเคลือบคลุม ค่าเสียหายของโจทก์ทั้งสองหากจะมีอย่างมากก็ไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๓ เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุก ๖ ล้อ โดยกำหนดจำนวนเงินเพื่อความรับผิดในการบาดเจ็บมรณะของบุคคลภายนอกไม่เกินคนละ๒๕,๐๐๐ บาท และเพื่อความเสียหายในทรัพย์ของบุคคลภายนอกไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทต่อการเกิดเหตุครั้งหนึ่ง โจทก์ที่ ๑ ประมาทเลินเล่อขับรถพุ่งเข้าชนรถยนต์บรรทุกคันที่จำเลยที่ ๓ รับประกันภัย โจทก์ไม่เสียหายเป็นเงินดังฟ้อง โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ ๓ ได้รับประกันรถยนต์บรรทุก ๖ ล้อจากผู้ใดอันจะเป็นเหตุให้จำเลยที่ ๓ต้องรับผิดต่อโจทก์ ฟ้องโจทก์เกี่ยวแก่จำเลยที่ ๓ จึงเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่า เหตุที่รถชนกันเกิดจากความประมาทของนายไชโย แต่น่าจะเกิดจากความประมาทของโจทก์ที่ ๑ประเด็นอื่นไม่จำต้องวินิจฉัย พิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒จำนวน ๑,๕๐๐ บาท ให้จำเลยที่ ๓ ๓,๐๐๐ บาท
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ ๑เป็นเงิน ๒๓,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ที่ ๒ เป็นเงิน ๒๑๐,๐๐๐ บาท เฉพาะค่าเสียหายของโจทก์ที่ ๒ ให้จำเลยที่ ๓ ร่วมรับผิดในวงเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี และค่าทนายความทั้งสองศาลรวม ๕,๐๐๐ บาทแทนโจทก์ทั้งสอง
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ ๓ ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายว่า จำเลยที่ ๓รับประกันรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ๘๐ – ๙๕๕๕ นครราชสีมา จากผู้ใด ในอันที่จะให้จำเลยที่ ๓ รับผิดต่อโจทก์ จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุมนั้น เห็นว่า ตามคำให้การของจำเลยที่ ๓ก็ยอมรับว่าจำเลยที่ ๓ เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ๘๐ – ๙๕๕๕นครราชสีมา ไว้ตามกรมธรรม์ประกันภัยเลขที่ ซี.พี.แอล.เอส.๑ บี ๓๐ – ๔๒๗๑เมื่อจำเลยที่ ๓ รับประกันภัยรถคันดังกล่าวจึงต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากรถที่รับประกันภัยไว้ไปก่อให้เกิดขึ้น ตามที่ปรากฏในกรมธรรม์ประกันภัย การที่จำเลยที่ ๓ซึ่งประกันรถคันดังกล่าวจากผู้ใดเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ ๓ ทราบอยู่แล้ว เมื่อโจทก์ได้รับความเสียหายจากรถที่จำเลยที่ ๓ รับประกันภัย ก็ย่อมเรียกให้จำเลยที่ ๓ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ได้ การที่โจทก์ไม่ได้กล่าวถึงผู้เอาประกันภัยนั้นไม่ได้ทำให้ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องเคลือบคลุม ฎีกาของจำเลยที่ ๓ ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยที่ ๓ ฎีกาว่า หากจำเลยที่ ๓ จะต้องร่วมรับผิดแล้ว จำเลยที่ ๓ ก็รับผิดจำกัดตามวงเงินที่กำหนดไว้ในเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยที่ ๓ ไม่มีหน้าที่ที่จะต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมแทนทั้งสองศาลและค่าธรรมเนียมในการฎีกา ซึ่งจะขัดต่อวัตถุประสงค์ในการรับประกันภัยของจำเลยที่ ๓ นั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารรณาความแพ่ง มาตรา ๑๖๑ บัญญัติให้ความรับผิดชั้นที่สุดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมของคู่ความในคดีย่อมตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่แพ้คดี ทั้งนี้ให้ศาลใช้ดุลพินิจในการกำหนดให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมโดยคำนึงถึงเหตุผลสมควรและความสุจริตในการสู้ความหรือการดำเนินคดีด้วย ทั้งไม่เกี่ยวกับข้อจำกัดความรับผิดเรื่องค่าเสียหายตามวงเงินที่กำหนดไว้ในเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย เมื่อจำเลยที่ ๓ แพ้คดีจึงต้องร่วมรับผิดชั้นที่สุดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียม ที่ศาลอุทธรณ์ให้จำเลยที่ ๓ ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีและค่าทนายความทั้งสองศาลรวม ๕,๐๐๐ บาท แทนโจทก์ทั้งสองนั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าทนายความแทนโจทก์ทั้งสองโดยกำหนดให้เป็นเงิน ๓,๐๐๐ บาท

Share