แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ผู้เป็นพยานในพินัยกรรมคนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคนไม่ได้อยู่รู้เห็นในขณะที่ผู้ทำพินัยกรรมลงลายพิมพ์นิ้วมือในพินัยกรรม พินัยกรรมย่อมตกเป็นโมฆะ
ข้อกฎหมายที่เกิดจากข้อเท็จจริงที่โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องไว้ชัดแจ้ง แต่เกิดจากข้อเท็จจริงในการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ เมื่อข้อกฎหมายนั้นเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ และนางพลอย ศรศิลป์ เป็นบิดาและมารดาของโจทก์ที่ ๒ ส่วนจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นบุตรนางจิบ สุขเอก กับนายประเทือง ต่อมานางจิบสมรสใหม่กับนายขาย มีบุตรสองคนคือจำเลยที่ ๓ และนางพลอยภรรยาโจทก์ที่ ๑ โจทก์ที่ ๑ และนางพลอยได้รับนางจิบมาเลี้ยงดู นางจอบมีที่นาอยู่ ๒ แปลง ต่อมาโจทก์ที่ ๑ ได้ขอออกหนังสือรับรองทำประโจทก์ที่ดินทั้งสองแปลงโดยใส่ชื่อนางจิบเป็นเจ้าของที่ดิน นางจิบได้ทำพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองยกที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่โจทก์ที่ ๒ แต่ขณะนั้นโจทก์ที่ ๒ ยังเป็นผู้เยาว์ โจทก์ที่ ๑ จึงเข้าครอบครองที่ดินทั้งสองแปลงแทน ต่อมานางจิบป่วยหนัก จำเลยที่ ๑ ได้มาเอาตัวนางจิบไป เมื่อนางจิบได้ถึงแก่กรรมลง โจทก์ที่ ๒ ได้ขอรับมรดกที่ดินทั้งสองแปลงตามพินัยกรรม จำเลยทั้งสามได้ยื่นคำร้องคัดค้านโดยนำพินัยกรรมของนางจิบฉบับลงวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๒๒ มาแสดง เจ้าพนักงานที่ดินได้จดทะเบียนโอนทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมที่จำเลยนำมาแสดงให้แก่จำเลยทั้งสาม พินัยกรรมที่จำเลยนำมาแสดงเป็นพินัยกรรมที่ไม่มีพยานลงชื่อรับรองลายพิมพ์นิ้วมือของนางจิบ ขณะทำพินัยกรรมนี้นางจิบชรามากและเจ็บป่วยจนไม่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ที่จะทำพินัยกรรมโดยสมัครใจ พินัยกรรมจึงไม่สมบูรณ์ ขอศาลมีคำพิพากษาให้พินัยกรรมฉบับลงวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๒๒ ไม่สมบูรณ์และเป็นโมฆะ ห้ามจำเลยทั้งสามทำนิติกรรม ซึ่งมีผลเป็นการจำหน่ายจ่ายโอนหรือก่อให้เกิดภาระติดพันในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ ๒๗๔, ๒๘๐
จำเลยทั้งสามให้การว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ ๒๗๙, ๒๘๐ เป็นที่ดินที่นางจิบและนายประเทืองร่วมกันบุกเบิกแผ้วถางมา หลังจากนายประเทืองตาย นางจิบทำพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองฉบับที่โจทก์นำมาฟ้องคดี แต่ต่อมานางจิบได้เพิกถอนพินัยกรรมฉบับดังกล่าว ครั้นวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๒๒ นางจิบได้ทำพินัยกรรมขึ้นอีก ๑ ฉบับ ยกทรัพย์มรดกคือที่ดิน ๒ แปลง ตามที่โจทก์ฟ้องให้แก่จำเลยทั้งสาม พินัยกรรมฉบับนี้มีผลโดยชอบตามกฎหมายเพราะมีพยานลงลายมือชื่อรับรองอย่างถูกต้อง และขณะทำพินัยกรรมนางจิบมิได้มีสติฟั่นเฟือนดังฟ้อง เมื่อนางจิบถึงแก่กรรมลงได้มีการเปิดพินัยกรรมฉบับหลังต่อหน้าทายาทของนางจิบ โจทก์ทั้งสองก็ไม่ได้แย้งคัดค้าน จำเลยทั้งสามจึงได้ขอรับโอนที่ดินทรัพย์มรดกดังกล่าวมาเป็นชื่อของจำเลยทั้งสาม โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ ๑ ถึงแก่กรรม นายแกะ คำเลิศ ซึ่งเป็นสามีของจำเลยที่ ๑ ขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า พินัยกรรมของนางจิบ สุขเอก ฉบับลงวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๒๒ เป็นโมฆะ
จำเลยทั้สามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งสามนำสืบว่า พินัยกรรมตามเอกสารหมาย จ.๑๓ ซึ่งทำขึ้นที่บ้านจำเลยที่ ๑ เป็นพินัยกรรมที่ถูกต้องตามกฎหมายนั้น มีจำเลยที่ ๑ เบิกความว่าพินัยกรรมทำขึ้นเมื่อเวลาประมาณ ๑๐ นาฬิกา พยานนั่งอยู่ใกล้ ๆ กับนายนทีและนายหยัดซึ่งเป็นพยานในการทำพินัยกรรมดังกล่า นายนทีซึ่งเป็นผู้เขียนพินัยกรรมและเป็นพยานในพินัยกรรมนั้นด้วย เบิกความว่า พยานไปถึงบ้านจำเลยที่ ๑ เมื่อเวลาประมาณ ๘ นาฬิกา นายหยัดมาถึงก่อนพยาน ก่อนทำพินัยกรรมพยานได้ไล่จำเลยที่ ๑ ออกจากบ้านไป นางจิบใช้น้ำมันใส่ผมทาที่หัวแม่มือ แล้วลนกับเขม่าตะเกียง จากนั้นใช้ประทับบนพินัยกรรมซึ่งวางไว้บนกระป๋องตักน้ำ ส่วนนายหยัดซึ่งเป็นพยานในพินัยกรรมอีกคนหนึ่งเบิกความว่า พยานขึ้นบันไดบ้านจำเลยที่ ๑ พร้อมนายนทีเมื่อเวลาประมาณ ๑๑ นาฬิกา นายนทีเป็นผู้จับมือนางจิบกดลงบนหมึกในตลับที่ใช้พิมพ์ลายนิ้วมือก่อน แล้วจึงจับมือนางจิบประทับบนกระดาษพินัยกรรม เห็นว่า พยานจำเลยซึ่งอ้างว่ารู้เห็นในการทำพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.๑๐ ต่างเบิกความแตกต่างกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งคำเบิกความของนายนทีกับนายหยัดผู้เป็นพยานในพินัยกรรมดังกล่าวในข้อที่ว่า นางจิบลงลายพิมพ์นิ้วมือในพินัยกรรมโดยการใช้หัวแม่มือลนกับเขม่าตะเกียงแล้วประทับบนพินัยกรรมดังคำเบิกความของนายนที หรือว่านายนทีจับมือนางจิบกดลงในตลับหมึก แล้วประทับบนพินัยกรรมดังคำเบิกความ+นายหยัด ข้อแตกต่างดังกล่าวเป็นเรื่องที่เห็นได้อย่างแจ้งชัด หากนายนทีกับนายหยัดอยู่ในเหตุการณ์ด้วยกัน ขณะนางจิบลงลายพิมพ์นิ้วมือในพินัยกรรมตามเอกสารหมาย จ.๑๐ จริงแล้ว ย่อมไม่มีทางที่บุคคลทั้งสองซึ่งเป็นกำนันและผู้ใหญ่บ้านจะเบิกความขัดแย้งกันดังกล่าวมาข้างต้น ทำให้เชื่อได้ว่า ขณะนางจิบลงลายพิมพ์นิ้วมือในพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.๑๐ นั้น นายนทีหรือนายหยัดผู้เป็นพยานในพินัยกรรมคนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคนไม่ได้อยู่รู้เห็นด้วย และโดยที่เอกสารหมาย จ.๑๐ เป็นพินัยกรรมแบบธรรมดาซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๒๕ บัญญัติให้ผู้ทำพินัยกรรมต้องลงลายมือชื่อไว้ต่อหน้าพยานอย่างน้อยสองคนพร้อมกัน ดังนั้นพินัยกรรมฉบับนี้จึงมิได้ทำขึ้นตามแบบที่บทกฎหมายดังกล่าวบังคับไว้ ย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๐๕ ปัญหาในข้อนี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ทั้งเป็นข้อกฎหมายที่เกิดจากข้อเท็จจริงในการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ แม้ฟ้องโจทก์จะไม่ได้บรรยายถึงเรื่องดังกล่าวไว้ชัดแจ้ง ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกฎีกาข้อนี้ของโจทก์ขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ วรรคสอง คดีไม่จำต้องพิจารณาว่า ขณะทำพินัยกรรมตามเอกสารหมาย จ.๑๐ นั้น นางจิบผู้ทำพินัยกรรมมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนหรือไม่อีกต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า พินัยกรรมตามเอกสารหมาย จ.๑๐ มีผลบังคับได้ตามกฎหมายและยกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับว่า พินัยกรรมของนางจิบ สุขเอก ฉบับลงวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๒๒ เป็นโมฆะ