แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บริษัท ท. ได้ ตกลง มอบอำนาจให้จำเลยหรือ ท. คนใดคนหนึ่งลงนามพร้อมประทับตราสำคัญของบริษัทดำเนินกิจการต่าง ๆ แทนบริษัทได้ดังนั้น การที่ ท. แต่ผู้เดียวลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัท ท. ในสัญญาโอนขายลดเช็คที่ทำไว้กับโจทก์ จึงเป็นการกระทำในฐานะตัวแทนของบริษัท
สำเนาเอกสารที่จำเลยเพียงแต่ยื่นคำร้องไม่รับรองว่าถูกต้องหรือมีอยู่จริง แต่จำเลยมิได้คัดค้านการนำสืบสำเนาเอกสารดังกล่าวและบอกกล่าวไปยังโจทก์ก่อนวันสืบพยาน จำเลยจึงต้องห้ามมิให้คัดค้านการมีอยู่และความแท้จริงหรือความถูกต้องแห่งสำเนาเอกสารนั้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 125 ศาลมีอำนาจรับฟังสำเนาเอกสารดังกล่าวได้
แม้ศาลชั้นต้นจะวินิจฉัยว่า ถือไม่ได้ว่าบริษัท ท. ได้ทำสัญญาโอนขายลดเช็คกับโจทก์เพราะ ท. แต่เพียงผู้เดียวไม่มีอำนาจ แต่โจทก์ยังกล่าวโต้แย้งไว้ในคำแก้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจหยิบยกปัญหานี้ขึ้นวินิจฉัย
โจทก์กล่าวอ้างในฎีกาว่า จำเลยได้หลบหนีไปจากเคหสถานที่เคยอยู่ แต่ความข้อนี้ไม่ใช่ข้อที่โจทก์ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
เมื่อโจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ จำเลยบอกให้รอไปก่อนแต่ ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้แจ้งแก่โจทก์ว่าไม่สามารถชำระหนี้ได้ จึงยังไม่เข้าข้อสันนิษฐานว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า บริษัท ท.ค้าไม้ จำกัด ได้ทำสัญญาโอนขายลดเช็คไว้กับโจทก์ มีจำเลยเป็นผู้ค้ำประกัน บริษัท ท.ค้าไม้ จำกัด ได้นำเช็คของผู้มีชื่อมาขายลดแก่โจทก์ ๕ ฉบับ รวมเป็นเงิน ๒,๑๔๐,๒๙๐ บาท แต่ปรากฏว่าธนาคารตามเช็คทั้ง ๕ ฉบับ ได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน ทำให้โจทก์ไม่ได้รับเงินตามเช็ค บริษัท ท.ค้าไม้ จำกัดจึงมีหน้าที่ต้องชดใช้เงินตามเช็คพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ๑๙ ต่อปี นับแต่วันที่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คแต่ละฉบับจนถึงวันฟ้องรวมเป็นดอกเบี้ย ๒๐๔,๕๖๐.๖๔ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๒,๓๔๔,๘๕๐.๖๔ บาท โจทก์ทวงถามให้บริษัท ท.ค้าไม้ จำกัดผู้ขายลดเช็คและจำเลยผู้ค้ำประกันชำระหนี้ดังกล่าวหลายครั้งแล้วแต่บริษัท ท.ค้าไม้ จำกัด และจำเลยเพิกเฉย จำเลยเป็นหนี้โจทก์จำนวนแน่นอนเกินกว่า ๕๐,๐๐๐ บาท อันเป็นหนี้ที่ถึงกำหนดชำระ จำเลยไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้ และจำเลยได้แจ้งแก่โจทก์ว่าไม่สามารถชำระหนี้ได้ ขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓
จำเลยให้การว่า ขณะมีการขายลดเช็คดังโจทก์ฟ้อง ผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัท ท.ค้าไม้ จำกัด จะต้องกระทำโดยนายทวีศักดิ์โล่ห์สถาพรพิพิธ หรือจำเลยลงลายมือชื่อร่วมกับนายเทพ ตรีวิศวเวทย์หรือนายกำธร ตรีวิศวเวทย์ และประทับตราสำคัญของบริษัทจึงจะมีผลผูกพันบริษัท การที่นายทวีศักดิ์กรรมการเพียงคนเดียวของบริษัทท.ค้าไม้ จำกัด นำเช็คของผู้อื่นซึ่งไม่ใช่เช็คลูกค้าของบริษัทท.ค้าไม้ จำกัด จำนวน ๕ ฉบับ ตามฟ้องโจทก์ ไปขายลดแก่โจทก์จึงไม่มีผลผูกพันบริษัท ท.ค้าไม้ จำกัด บริษัท ท.ค้าไม้ จำกัดจึงไม่ต้องรับผิดตามเช็คทั้ง ๕ ฉบับ ตามฟ้อง จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิดด้วย จำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์เกินกว่า๕๐,๐๐๐ บาท จำเลยยังมีทรัพย์พอชำระหนี้แก่โจทก์ได้ จำเลยไม่เคยแจ้งแก่โจทก์ว่าจำเลยไม่สามารถชำระหนี้ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า บริษัท ท.ค้าไม้ จำกัด ไม่ได้ทำสัญญาโอนขายลดเช็คให้แก่โจทก์ และเช็คที่นายทวีศักดิ์ โล่ห์สถาพรพิพิธ นำมาขายลดให้แก่โจทก์ไม่ใช่เช็คลูกค้าของบริษัท ท.ค้าไม้ จำกัด โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันหรือไม่ และมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ สำหรับปัญหาตามฎีกาของจำเลยนั้น โจทก์มีสำเนาภาพถ่ายรายงานการประชุมของบริษัท ท.ค้าไม้ จำกัด เอกสารหมายจ.๑๒ และ จ.๑๓ มาแสดงเป็นหลักฐานว่า บริษัท ท.ค้าไม้ จำกัดได้ตกลงมอบอำนาจให้จำเลยหรือนายทวีศักดิ์ โล่ห์สถาพรพิพิธคนใดคนหนึ่งลงนามพร้อมประทับตราสำคัญของบริษัทดำเนินกิจการต่าง ๆแทนบริษัทได้ ดังนั้น การที่นายทวีศักดิ์แต่ผู้เดียวลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัท ท.ค้าไม้ จำกัด ในสัญญาโอนขายลดเช็คเอกสารหมาย จ.๑ ที่ทำไว้กับโจทก์นั้น จึงเป็นการกระทำในฐานะตัวแทนของบริษัท และตามสัญญาโอนขายลดเช็คเอกสารหมาย จ.๑ ไม่มีข้อจำกัดว่าเช็คที่บริษัท ท.ค้าไม้ จำกัด นำมาขายลดให้แก่โจทก์จะต้องเป็นเช็คของลูกค้าของบริษัทเท่านั้น และตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.๒ที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ ก็ระบุความรับผิดของจำเลยรวมถึงหนี้ตามเช็คของบุคคลอื่นที่บริษัท ท.ค้าไม้ จำกัด ได้นำมาขายลดแก่โจทก์ด้วยศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงได้ว่า บริษัท ท.ค้าไม้ จำกัด ได้มอบหมายให้นายทวีศักดิ์เป็นตัวแทนทำสัญญาโอนขายลดเช็คกับโจทก์ และบริษัทได้เป็นหนี้โจทก์ตามสัญญาดังกล่าวเป็นเงิน ๒ ล้านบาทเศษ จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาค้ำประกัน ส่วนที่จำเลยกล่าวอ้างในฎีกาว่า เอกสารหมาย จ.๑๕ ถึง จ.๑๗ ในสำนวนคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ ๓๙๓/๒๕๒๙ ของศาลชั้นต้นเป็นสำเนาภาพถ่ายเช็คซึ่งจำเลยไม่รับรองว่าถูกต้องหรือมีอยู่จริงตามคำร้องของจำเลยลงวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๐ สำเนาเอกสารดังกล่าวจึงรับฟังไม่ได้นั้น ปรากฏว่าจำเลยมิได้คัดค้านการนำสืบสำเนาเอกสารดังกล่าวและบอกกล่าวไปยังโจทก์ก่อนวันสืบพยาน ฉะนั้น จำเลยจึงต้องห้ามมิให้คัดค้านการมีอยู่และความแท้จริง หรือความถูกต้องแห่งสำเนาเอกสารนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๒๕ ศาลมีอำนาจรับฟังสำเนาเอกสารดังกล่าวได้ และที่จำเลยกล่าวอ้างในฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ต้องฟังข้อเท็จจริงตามศาลชั้นต้นซึ่งวินิจฉัยว่า ถือไม่ได้ว่าบริษัท ท.ค้าไม้ จำกัด ได้ทำสัญญาโอนขายลดเช็คกับโจทก์เพราะนายทวีศักดิ์แต่เพียงผู้เดียวไม่มีอำนาจนั้น เห็นว่า ปัญหานี้โจทก์ยังกล่าวโต้แย้งไว้ในคำแก้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนปัญหาตามฎีกาโจทก์ที่ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่นั้น โจทก์กล่าวอ้างในฎีกาว่าจำเลยได้หลบหนีไปจากเคหสถานที่เคยอยู่ แต่ความข้อนี้มิใช่ข้อที่โจทก์ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่โจทก์กล่าวอ้างในฎีกาว่า จำเลยแจ้งแก่โจทก์ว่าไม่สามารถชำระหนี้ได้นั้น พยานโจทก์มีแต่นางภาวิณี เลิศพฤกษ์ลูกจ้างโจทก์เพียงปากเดียวเบิกความว่า ได้ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้แล้ว จำเลยบอกให้รอไปก่อน แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้แจ้งแก่โจทก์ว่าไม่สามารถชำระหนี้ได้ จึงยังไม่เข้าข้อสันนิษฐานว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว แล้วศาลฎีกาวินิจฉัยพยานหลักฐานโจทก์จำเลยฟังข้อเท็จจริงได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว
พิพากษากลับ ให้บังคังคดีตามคำสั่งศาลชั้นต้น.