คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 800/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 2 ได้ให้คำรับรองต่อธนาคารผู้ให้กู้ว่าจำเลยที่ 2 ทำงานเกษตรกับจำเลยที่ 1 ผู้เป็นสามีและรับผูกพันว่าเงินที่จำเลยที่ 1 กู้นั้นเป็นเงินที่นำไปเพื่อใช้ในการเกษตร หนี้เงินกู้ดังกล่าวจึงเป็นหนี้อันเนื่องจากการงานซึ่งสามีภรรยาทำด้วยกัน จำเลยทั้งสองจึงมีฐานะเป็นลูกหนี้ร่วม แม้จำเลยที่ 2 ไม่ได้ลงชื่อในหนังสือกู้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ก็ตาม
เมื่อโจทก์ซึ่งมีความผูกพันร่วมกับจำเลยที่ 1 ได้ใช้หนี้ของจำเลยที่ 1 ให้แก่ธนาคารผู้ให้กู้ไปแล้วโจทก์ย่อมรับช่วงสิทธิของธนาคารผู้ให้กู้ที่มีต่อจำเลยทั้งสอง แม้จำเลยที่ 2 จะไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ แต่จำเลยที่ 2 เป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1จึงรับผิดต่อโจทก์ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยที่ ๑ และผู้มีชื่อรวม ๑๑ คนได้กู้เงินไปจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โดยจำเลยที่ ๑กู้เงินจำนวน ๑๓,๕๐๐ บาท โจทก์จำเลยที่ ๑ และผู้มีชื่อรวม ๑๑ คนยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นภรรยาให้คำรับรองและรู้เห็นเป็นใจ ยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ ซึ่งนำเงินกู้ไปใช้จ่ายในครอบครัว ครบกำหนดจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระหนี้ ธนาคารดังกล่าวทวงถามโจทก์ฐานะเป็นลูกหนี้ร่วม โจทก์ได้นำเงินจำนวน ๑๕,๔๑๕.๕๐ บาทไปชำระ โจทก์จึงเป็นผู้รับช่วงสิทธิจากธนาคาร โจทก์ทวงถามจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองไม่ชำระ ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน———– จำนวน ๑๕,๔๑๕.๕๐ บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน ๑๕,๔๑๕.๕๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่าได้มอบเงินแก่โจทก์เพื่อให้ชำระหนี้แทนจำเลยที่ ๑ แล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง การชำระหนี้ของโจทก์เป็นประโยชน์แก่จำเลยที่ ๑ และลูกหนี้อื่นอีก ๙ คนด้วย โจทก์มีสิทธิไล่เบี้ยจากจำเลยเพียง ๑,๔๐๑.๔๑ บาท พร้อมดอกเบี้ย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๑๕,๔๑๕.๕๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ ๒๓ มกราคม๒๕๒๘ เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๒
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๒ ร่วมกับจำเลยที่ ๑ชำระเงิน ๑๕,๔๑๕.๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๒๘ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยที่ ๒ นำสืบรับและไม่โต้เถียงกันฟังได้ว่า เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๑๖ จำเลยที่ ๑ได้ขอขึ้นทะเบียนเป็นลูกค้าประจำของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาตรัง ในวันเดียวกันนี้เอง จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นภรรยาของจำเลยที่ ๑ ได้ให้คำรับรองต่อธนาคารดังกล่าวว่า จำเลยที่ ๒ทำงานเกษตรกับจำเลยที่ ๑ โดยตลอด ฉะนั้น จำเลยที่ ๒ จึงรับผูกพันว่าบรรดาการกู้เงิน ซึ่งจำเลยที่ ๑ กู้จากธนาคารนี้เพื่อใช้ในการเกษตร เป็นหนี้ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการงานซึ่งสามีภรรยาทำด้วยกันตามเอกสารหมาย จ.๒ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรสาขาตรัง ได้รับจำเลยที่ ๑ ขึ้นทะเบียนเป็นลูกค้าไว้แล้ว นอกจากนี้เมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๒๑ จำเลยที่ ๒ ยังได้ทำหนังสือไว้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาตรัง ว่า บรรดานิติกรรมทั้งหลายที่จำเลยที่ ๑ คู่สมรสของจำเลยที่ ๒ ทำไว้กับธนาคารดังกล่าวในเวลานี้หรือในภายหน้า จำเลยที่ ๒ ขอให้ความยินยอมกับการทำนิติกรรมดังกล่าวนั้น และให้มีผลผูกพันจำเลยที่ ๒ ด้วยตามเอกสารหมาย จ.๔ต่อมาโจทก์ จำเลยที่ ๑ และผู้มีชื่อรวม ๑๑ คน ได้กู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาตรัง เพื่อนำมาลงทุนในการผลิตยางพารา เฉพาะจำเลยที่ ๑ กู้ไปจำนวน ๑๓,๕๐๐ บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๔ ต่อปี กำหนดชำระคืนภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๒๗ในการกู้เงินดังกล่าวผู้กู้ทุกคนตกลงรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกันตามเอกสารหมาย จ.๑ เมื่อครบกำหนดสัญญาผู้กู้รายอื่นรวมทั้งโจทก์ได้ชำระหนี้ให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาตรังครบถ้วนแล้ว คงเหลือแต่จำเลยที่ ๑ ไม่ชำระ โจทก์ซึ่งได้รับการทวงถามจึงชำระหนี้รวมทั้งดอกเบี้ยจำนวน ๑๕,๔๑๕.๕๐ บาท แทนจำเลยที่ ๑ให้แก่ธนาคารดังกล่าวไป คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๒จะต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ ต่อโจทก์หรือไม่
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๒ ได้ให้คำรับรองต่อธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาตรัง ว่า จำเลยที่ ๒ทำงานเกษตรกับจำเลยที่ ๑ ผู้เป็นสามี จึงรับผูกพันว่าบรรดาการกู้เงิน ซึ่งจำเลยที่ ๑ กู้จากธนาคารดังกล่าวเพื่อใช้ในการเกษตรเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการงานซึ่งสามีภรรยาทำด้วยกันเมื่อต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้กู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาตรัง เพื่อนำมาลงทุนในการผลิตยางพารา อันเป็นการใช้ในการเกษตรตรงกับคำรับรองของจำเลยที่ ๒ ดังกล่าวข้างต้นเช่นนี้ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า เงินต้นพร้อมดอกเบี้ยที่จำเลยที่ ๑กู้มานั้น เป็นหนี้ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการงานที่จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นสามีภรรยาทำด้วยกัน แม้จำเลยที่ ๒ จะได้ได้ลงชื่อในหนังสือกู้เงินตามเอกสารหมาย จ.๑ ด้วย ก็ต้องถือว่าหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้ที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นลูกหนี้ร่วมกันตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๙๐(๓) จำเลยที่ ๒ จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ในหนี้นั้นต่อธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาตรัง ด้วย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏต่อมาว่าโจทก์ซึ่งมีความผูกพันร่วมกับจำเลยที่ ๑ ได้เข้าใช้หนี้ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งจำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดร่วมต่อธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาตรัง ไปแล้วเช่นนี้ โจทก์จึงเป็นผู้รับช่วงสิทธิของธนาคารดังกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๙(๓)และชอบที่จะใช้สิทธิที่ธนาคารนั้นมีอยู่โดยมูลหนี้ได้ในนามของโจทก์เองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๖ แม้จำเลยที่ ๒จะไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ แต่โดยผลของกฎหมายดังกล่าวข้างต้นจำเลยที่ ๒ ก็ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ต่อโจทก์ด้วยที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ ๒ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share