คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 756/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมโดยอ้างเหตุแต่เพียงว่าโจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้ชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา ส่วนในเรื่องคำขอบังคับไม่ชัดแจ้งเคลือบคลุม จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
ก่อนฟ้องโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทราบว่าจะขอทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาท แต่จำเลยเพิกเฉยไม่ยอมแบ่งแยก ข้อโต้แย้งเกิดขึ้นแล้ว โจทก์มีอำนาจฟ้อง
โจทก์กับ ล. มีชื่อในโฉนดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินร่วมกัน เมื่อปรากฏว่าโจทก์กับ ล. ทำสัญญาแบ่งที่ดินกันและโจทก์เข้าครอบครองที่ดินตามข้อตกลงในสัญญาเป็นส่วนสัดโดยความสงบและโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาเป็นเวลา10 ปีแล้ว โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินมีโฉนดร่วมกับนางลั้น เดือนเพ็ญ ที่ดินมีเนื้อที่ ๒๕ ไร่ ๓ งาน ๖๐ ตารางวาเมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๔๙๐ โจทก์กับนางลั้นทำสัญญาแบ่งแยกที่ดินกันเป็นส่วนสัด โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินทางด้านทิศใต้ เนื้อที่ประมาณ ๑๔ ไร่เศษ หลังจากนั้นโจทก์ครอบครองในที่ดินส่วนของโจทก์ตลอดมาเป็นเวลา ๓๐ ปีเศษแล้ว ไม่มีผู้ใดโต้แย้งสิทธินายไน่กินเดือนเพ็ญ รับมรดกที่ดินส่วนของนางลั้น ต่อมาจำเลยรับมรดกที่ดินดังกล่าวจากนายไน่กิม ขอให้บังคับจำเลยไปยื่นคำขอรังวัดต่อสำนักงานที่ดิน จังหวัดชลบุรี เพื่อแบ่งแยกที่ดินให้โจทก์ หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์กับจำเลยมิได้แบ่งแยกกันครอบครองที่ดินเป็นส่วนสัด สัญญาแบ่งแยกที่ดินที่โจทก์อ้างเป็นสัญญาปลอมที่ดินที่โจทก์ขอแบ่งแยกมีเนื้อที่มากเกินส่วนที่โจทก์ควรได้ ก่อนฟ้องโจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยไปรังวัดแบ่งแยก โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะมิได้บรรยายให้แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปทำการรังวัดเพื่อแบ่งแยกที่ดินที่โจทก์ครอบครองให้แก่โจทก์ ถ้าไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประเด็นแรกจำเลยฎีกาว่า คำขอบังคับท้ายฟ้องเคลือบคลุม คำขอบังคับเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง เมื่อคำฟ้องเคลือบคลุมจึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ วรรคสอง นั้นเห็นว่า จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมโดยอ้างเหตุแต่เพียงว่าโจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้ชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา ส่วนในเรื่องคำขอบังคับไม่ชัดแจ้งเคลือบคลุมนั้น จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้
ประเด็นต่อไปจำเลยฎีกาว่า ก่อนฟ้องโจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยทราบว่า จะขอทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาท ข้อโต้แย้งยังไม่เกิดขึ้น โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า โจทก์นำสืบว่าโจทก์ได้ติดต่อขอให้จำเลยแบ่งแยกโฉนดที่ดินพิพาท แต่จำเลยเพิกเฉยส่วนจำเลยมิได้นำสืบโต้แย้งในข้อนี้แต่อย่างใด ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า ก่อนฟ้องโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยทราบว่าจะขอทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทแต่จำเลยเพิกเฉยไม่ยอมแบ่งแยก ข้อโต้แย้งเกิดขึ้นแล้วดังนั้น โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ประเด็นสุดท้ายจำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้ครอบครองที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัดนั้น เห็นว่า โจทก์นำสืบนอกจากมีเอกสารหมาย จ.๒ และจ.๔ มาแสดงแล้วโจทก์ยังมีพยานบุคคลคือตัวโจทก์นายอนิวัฒน์กำนันตำบลหนองซ้ำซากและนางทองเดิมผู้เขียนเอกสารหมาย จ.๔ มาเบิกความประกอบเอกสารดังกล่าวว่า เมื่อปี ๒๔๘๙ โจทก์กับนางลั้นได้ไปยื่นคำขอต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรีขอแบ่งแยกที่ดินพิพาทด้านทิศใต้เป็นของโจทก์ ส่วนแปลงคงเหลือเป็นของนางลั้น ตามเอกสารหมาย จ.๒ แต่ไม่สามารถแบ่งแยกได้เพราะเจ้าของที่ดินข้างเคียงคัดค้านว่าโจทก์และนางลั้นนำรังวัดรุกล้ำเข้าไปในเขตที่ดินของผู้คัดค้านดังกล่าว ต่อมาในปี ๒๔๙๐ โจทก์กับนางลั้นจึงได้ไปทำสัญญาแบ่งที่ดินพิพาทต่อกำนันตำบลหนองซ้ำซากโดยมีข้อตกลงว่าโจทก์ได้ที่ดินพิพาทด้านทิศใต้ส่วนนางลั้นได้ที่ดินพิพาทด้านทิศเหนือ ตามเอกสารหมาย จ.๔ พยานหลักฐานของโจทก์เชื่อมโยงสอดคล้องกันจึงน่าเชื่อ ส่วนข้อที่จำเลยอ้างว่าเอกสารหมาย จ.๔ เป็นเอกสารปลอมนั้นจำเลยก็นำสืบลอย ๆ ประกอบกับไม่ปรากฏว่ากำนันตำบลหนองซ้ำซากและนางทองเติมเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับนางลั้นหรือนายไน่กิมหรือจำเลย และบุคคลทั้งสองดังกล่าวก็ไม่มีผลประโยชน์ส่วนได้เสียเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทด้วย จึงไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าบุคคลทั้งสองจะแกล้งทำเอกสารหมาย จ.๔ ปลอมขึ้นมา นอกจากนี้แม้จะปรากฏตามใบเสร็จรับเงินภาษีบำรุงท้องที่เอกสารหมาย จ.๒๑ ถึงจ.๒๓ ว่านางปีนายไน่กิมเป็นผู้เสียภาษีที่ดินพิพาทดังจำเลยฎีกาก็ตาม แต่เอกสารหมาย จ.๒๑ ถึง จ.๒๓ ก็ไม่มีข้อความแสดงว่าโจทก์กับนายไน่กิมครอบครองที่ดินพิพาทร่วมกัน ซึ่งไม่เหมือนกับเอกสารหมาย จ.๒ และ จ.๔ ซึ่งมีข้อความแสดงไว้ชัดแจ้งว่า โจทก์และนางลั้นได้แบ่งกันครอบครองที่ดินพิพาทโดยตกลงกันให้โจทก์ได้ที่ดินพิพาทด้านทิศใต้ ส่วนนางลั้นได้ที่ดินพิพาทด้านทิศเหนือดังนี้พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่า ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าเมื่อปี ๒๔๘๙ และปี ๒๔๙๐ โจทก์และนางลั้นได้ตกลงแบ่งที่ดินพิพาทกันตามเอกสารหมาย จ.๒ และ จ.๔ และโจทก์ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทด้านทิศใต้เป็นส่วนสัดตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องหมายเลข ๓โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาเป็นเวลา ๑๐ ปีแล้วโจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๘๒ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา ๑,๐๐๐ บาทแทนโจทก์.

Share