คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1819/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยยอมรับต่อเจ้าพนักงานตำรวจที่กองกำลังพล กรมตำรวจว่าจำเลยเป็นผู้แก้ไขตำแหน่งและเลขประจำตำแหน่งในบันทึกการขอบรรจุข้าราชการตำรวจที่ผู้บังคับบัญชาของจำเลยเสนอแต่งตั้งให้จำเลยดำรงตำแหน่งรองสารวัตรปกครองป้องกันสถานีตำรวจนครบาลประชาชื่น เป็นตำแหน่งรองสารวัตรปกครองป้องกันสถานีตำรวจนครบาลชนะสงคราม แม้คำรับดังกล่าวจะเป็นคำบอกเล่าก็ตาม แต่ก็เป็นคำบอกเล่าที่ทำให้ตนเองเสียประโยชน์ จึงรับฟังได้
จำเลยปลอมเอกสารบันทึกการขอบรรจุข้าราชการตำรวจอันเป็นเอกสารราชการขณะเอกสารดังกล่าวถูกส่งไปตามสายงานจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลถึงอธิบดีกรมตำรวจและยังคงค้างอยู่ที่กองกำลังพล กรมตำรวจ ย่อมเป็นหน้าที่ของเจ้าที่กองกำลังพล กรมตำรวจ ที่จะเสนอเอกสารดังกล่าวไปตามลำดับจนถึงอธิบดีกรมตำรวจอยู่แล้ว จำเลยจึงมิใช่เป็นผู้ใช้หรืออ้างเอกสารดังกล่าวต่อเจ้าหน้าที่กองกำลังพล กรมตำรวจ โดยวิธีแนบเรื่องไปตามลำดับจนถึงอธิบดีกรมตำรวจดังโจทก์ฟ้อง จำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกได้ร่วมกันปลอมหนังสือบันทึกการขอบรรจุข้าราชการตำรวจให้ได้รับเงินเดือนตามวุฒิ อันเป็นเอกสารราชการของพลตำรวจโทเสน่ห์ สิทธิพันธ์ บันทึกเสนออธิบดีกรมตำรวจเพื่อบรรจุแต่งตั้งจำเลยซึ่งมียศสิบตำรวจเอก ซึ่งได้รับปริญญานิติศาสตร์บัณฑิตให้ได้รับเงินเดือนตามวุฒิในตำแหน่ง รอง สวป.สน.ประชาชื่น โดยจำเลยกับพวกได้ขูดลบข้อความ “รอง สวป.สน.ประชาชื่น” ออกแล้วพิมพ์ข้อความ “รอง สวป.สน.ชนะสงคราม” ลงไทแทนและขูดลบตัวเลขช่องตำแหน่งเลขที่ “สน.๑ – ๒๗๙” ออกแล้วพิมพ์เลขที่ “๙๙” ลงไปแทน เพื่อให้อธิบดีกรมตำรวจหลงเชื่อว่า พลตำรวจโทเสน่ห์ สิทธิพันธ์ เสนอแต่งตั้งจำเลยให้ดำรงตำแหน่ง รองสารวัตรปกครองป้องกัน สถานีตำรวจนครบาลชนะสงคราม โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่พลตำรวจโทเสน่ห์ สิทธิพันธ์ อธิบดีกรมตำรวจและประชาชน และจำเลยได้นำเอกสารราชการปลอมแปลงดังกล่าวไปใช้และอ้างแสดงต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำลังพล กรมตำรวจ โดยวิธีนำเอกสารปลอมดังกล่าวแนบเรื่องเสนอผู้บังคับบัญชาชั้นสูงตามลำดับจนถึงอธิบดีกรมตำรวจ เพื่อให้เชื่อว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารราชการที่แท้จริง จนอธิบดีกรมตำรวจแต่งตั้งจำเลยให้ดำรงตำแหน่ง รองสารวัตรปกครองป้องกันสถานีตำรวจนครบาลชนะสงคราม ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่กองกำลังพล กรมตำรวจ พลตำรวจโทเสน่ห์ สิทธิพันธ์ อธิบดีกรมตำรวจ และประชาชนขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๔, ๒๖๕, ๒๖๘ และ ริบเอกสารปลอม
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๕ จำคุก ๑ ปี ๔ เดือน ปรับ ๔,๐๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ ๒ ปี
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายเกี่ยวกับคำพยานบอกเล่าไว้ว่า “นอกจากร้อยตำรวจตรีไพบูลย์แล้ว โจทก์ยังได้อ้างพันตำรวจตรีอาภรณ์ ไชยปะ ว่าที่พันตำรวจตรีบรรจง ตันศยานนท์ พันตำรวจเอกสุเทพ ธรรมรักษ์ พันตำรวจเอกวาสนา เพิ่มลาภ และพลตำรวจตรีสนอง วัฒนวรางกูร มาเบิกความเป็นพยานว่าเมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๒๓ หลังจากมีข่าวเรื่องคำสั่งแต่งตั้งจำเลยถูกแก้ไขแล้วจำเลยได้มาที่กองกำลังพล พันตำรวจตรีอาภรณ์และว่าที่พันตำรวจตรีบรรจงได้เชิญจำเลยไปพบกับพันตำรวจเอกสุเทพ จำเลยได้ยอมรับต่อพันตำรวจเอกสุเทพว่าจำเลยเป็นคนแก้ไขตำแหน่งและเลขประจำตำแหน่งในเอกสารหมาย จ.๒ รุ่งขึ้น วันที่ ๔ กันยายน ๒๕๒๓ จำเลยมาพบพันตำรวจเอกวาสนา จำเลยก็ยอมรับต่อพันตำรวจเอกวาสนาต่อหน้าพลตำรวจตรีสนองว่า จำเลยเป็นผู้แก้ไขตำแหน่งและเลขประจำตำแหน่งเอกสารหมาย จ.๒ คำพยานโจทก์ดังกล่าวสอดคล้องต้องกันและเป็นคำเบิกความของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ไม่มีเหตุที่น่าสงสัยว่าจะเบิกความกลั่นแกล้งจำเลย แม้จะเป็นคำพยานบอกเล่า แต่เป็นคำบอกเล่าที่ทำให้ตนเองเสียประโยชน์ จึงรับฟังได้” สำหรับปัญหาว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานใช้เอกสารปลอมหรือไม่นั้น เห็นว่าข้อเท็จจริงได้ความว่า เอกสารหมาย จ.๒ เป็นบันทึกข้อความของพลตำรวจโทเสน่ห์ สิทธิพันธ์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลขอบรรจุถูกส่งไปตามสายงานและค้างอยู่ที่กองกำลังพล จำเลยกับพวกได้ร่วมกันแก้ไขข้อความในเอกสารนั้น ดังนี้ จะว่าจำเลยเป็นผู้ใช้และอ้างเอกสารดังกล่าวต่อเจ้าหน้าที่กองกำลังพล โดยวิธีแนบเรื่องไปตามลำดับจนถึงอธิบดีกรมตำรวจหาได้ไม่ เพราะเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่กองกำลังพอที่จะเสนอเอกสารดังกล่าวไปตามลำดับจนถึงอธิบดีกรมตำรวจอยู่แล้ว
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๕ จำคุก ๑ ปี ๔ เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share