คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3725/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้โจทก์จะเป็นหญิงแต่ก็มีนิสัยและทำตัวอย่างผู้ชาย คนทั่วไปเข้าใจว่าโจทก์เป็นชาย โจทก์มีความรักใคร่จำเลยฉันชู้สาวจึงพาจำเลยมาอยู่กับโจทก์ในฐานะเป็นแม่บ้านของโจทก์เป็นเวลาเกือบ 20 ปี โดยโจทก์จำเลยได้ร่วมกันทำมาหากินแสวงหาทรัพย์สินซึ่งไม่ว่าจะเป็นด้วยแรงหรือเงินของฝ่ายใดก็ตาม ถือว่าทรัพย์ที่ได้มานั้นเป็นทรัพย์ที่ทั้งโจทก์จำเลยมีเจตนาที่จะเป็นเจ้าของร่วมกัน โจทก์และจำเลยจึงมีส่วนในทรัพย์ที่พิพาททั้งหมดคนละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1357

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอบังคับให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินดังกล่าวให้ดจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นของจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินคืนให้โจทก์ หากไม่จัดการโอน ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยโอนที่ดินพร้อมบ้านให้โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยมิได้โต้แย้งกันฟังเป็นยุติได้ว่าโจทก์มีนิสัยและทำตัวเป็นผู้ชาย มีอาชีพขายเนื้อโคกระบือ ส่วนจำเลยมีอาชีพเป็นนักร้องเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๖ โจทก์และจำเลยได้มาอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน โดยจำเลยเลิกอาชีพดังกล่าวและทำพิธีเข้าถือศาสนาอิสลามเช่นเดียวกับโจทก์ ระหว่างที่อยู่ร่วมกันนี้ได้เกิดโฉนดเลขที่ ๑๘๒๗ และ ๑๘๒๘ ที่ดินทั้งสามแปลงตั้งอยู่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าทรัพย์พิพาทดังกล่าวเป็นของโจทก์หรือจำเลย ที่จำเลยฎีกาว่า ที่ดินพิพาททั้งสามแปลงมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ การที่ศาลล่างทั้งสองรับฟังคำเบิกความของนายบุญสม ตันรัตนวงศ์ ผู้ขายที่ดินพิพาทให้จำเลยว่า โจทก์เป็นผู้มาตกลงซื้อและชำระเงินค่าที่ดินดังกล่าวแล้ววินิจฉัยว่าโจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาท แต่ใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ โดยไม่มีพยานเอกสารหรือพยานแวดล้อมอื่นใดมาประกอบเป็นการไม่ขอบนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์หาได้มีแต่นายบุญสมเป็นพยานเบิกความดังกล่าวแล้วไม่ แต่โจทก์ยังได้นำสืบถึงฐานะของโจทก์ด้วยว่าโจทก์เป็นผู้ค้าโค กระบือ โดยมีนายชะลอม บุญยังกองแก้ว เบิกความว่ารับจ้างแล่เนื้อให้โจทก์ นายชาตรี ยิ่งยศเสนีย์ และนางบุญเรือน พุ่มอยู่ เบิกความว่าซื้อเนื้อโค กระบือ จากโจทก์เป็นประจำ นายพุฒิ วิชิรักกุล เบิกความว่า ค้าขายโค กระบือ กับโจทก์มาประมาณ ๒๐ ปีแล้ว นายสวัสดิ์ เปรมปรีดิ์ หัวหน้าฝ่ายผลประโยชน์เทศบาลเมืองพิษณุโลก เบิกความว่า โจทก์เป็นผู้ทำสัญญาเช่าเขียงเนื้อที่ตลาดเทศบาล ๒ กับเทศบาลเมืองพิษณุโลก คำพยานโจทก์ดังกล่าวต่างได้ความเป็นอย่างเดียวกันว่า โจทก์ประกอบกิจการค้าขายโคกระบือ ที่จำเลยนำสืบว่ากิจการค้าขายโคกระบือเป็นของจำเลย โจทก์เป็นเพียงคนขับรถให้นั้น คงมีแต่คำเบิกความของจำเลยแต่เพียงลำพัง หามีพยานหลักฐานอื่นใดสนับสนุนไม่ นอกจากนี้ที่จำเลยเบิกความในตอนแรกว่าจำเลยซื้อที่ดินแปลงแรกจากนายบุญสม โดยมีนายณรงค์ สมเกียรติ เป็นผู้ติดต่อให้ ส่วนที่ดิน ๒ แปลงหลัง จำเลยซื้อจากนายณรงค์ โดยนายบุญสมเป็นผู้โอน แต่เมื่อตอบคำถามค้านของทนายโจทก์ จำเลยกลับเบิกความว่า ที่ดินแปลงแรกจำเลยซื้อจากนายณรงค์ มีนายบุญสมเป็นผู้โอน ส่วนอีก ๒ แปลงหลัง นายณรงค์เป็นผู้โอนโดยนายบุญสมไม่ได้เกี่ยวข้อง คำเบิกความของจำเลยจึงขัดกันเองไม่น่าเชื่อถือ ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยได้ซื้อที่ดินพิพาทด้วยเงินของจำเลยเองดังที่จำเลยนำสืบ ส่วนบ้านพิพาทนั้นข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยนำสืบยังโต้เถียงกันอยู่ โดยต่างฝ่ายต่างอ้างว่าเป็นผู้สร้างด้วยเงินของตนเอง อย่างไรก็ดี ปัญหาเกี่ยวกับทรัพย์พิพาทว่าเป็นของฝ่ายใดนี้ คดีได้ความจากพยานหลักฐานของโจทก์เองว่า แม้โจทก์จะเป็นหญิงแต่ก็มีนิสัยและทำตัวอย่างผู้ชาย การติดต่อกับทางราชการหรือบุคคลภายนอก โจทก์ใช้คำนำหน้าชื่อของโจทก์เป็นเพศชายว่านายทั้งสิ้น ดังจะเห็นได้จากใบอนุญาตต่าง ๆ ที่ทางราชการ องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยออกให้แก่โจทก์และหนังสือของธนาคารที่มีมาถึงโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.๗ ถึง จ.๑๐ และ จ.๑๒ จ.๑๔ คนทั่วไปในจังหวัดพิษณุโลกต่างเข้าใจว่าโจทก์เป็นชาย โจทก์มีความรักใคร่จำเลยฉันชู้สาว แล้วหาจำเลยมาอยู่กับโจทก์ในฐานะเป็นแม่บ้านของโจทก์ เนื่องจากไม่สามารถมีบุตรกับจำเลยได้ จึงให้จำเลยจดทะเบียนรับน้องสาวโจทก์เป็นบุตรบุญธรรมและให้จำเลยซึ่งเดิมนับถือศาสนาพุทธทำพิธีเข้าถือศาลนาอิสลามเช่นเดียวกับโจทก์ นอกจากนี้นายบุญสมพยานโจทก์ผู้ขายที่ดินพิพาทยังเบิกความว่า โจทก์เป็นคนชำระเงินให้พยาน ตอนจะโอนที่ดินกัน โจทก์ก็บอกให้โอนใส่ชื่อเมียโจทก์ ซึ่งหมายถึงจำเลยนี้ และว่าโจทก์เคยบอกพยานว่าจำเลยเป็นเมียโจทก์ จากข้อเท็จจริงดังกล่าวมาจึงเป็นที่เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า แม้โจทก์จำเลยจะเป็นหญิงไม่สามารถจะเป็นสามีภรรยากันตามกฎหมาย แตาตามพฤติการณ์ที่บุคคลทั้งสองได้อยู่ร่วมกันมาเป็นเวลาเกือบ ๒๐ ปี โดยจำเลยทำหน้าที่เป็นแม่บ้าน และได้ความจากคำเบิกความของโจทก์เองว่า บางครั้งจำเลยก็มาช่วยโจทก์ขายเนื้อในตลาด ในการซื้อโค กระบื้อนั้น หากจ่ายเป็นเช็คก็ใช้เช็คของจำเลย แสดงให้เห็นว่าโจทก์ จำเลยได้ร่วมกันทำมาหากินแสวงหาทรัพย์สินมาเป็นสมบัติของโจทก์จำเลยร่วมกัน บรรดาทรัพย์ที่โจทก์หรือจำเลยทำมาหาได้ในระหว่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นด้วยแรงหรือเงินของฝ่ายใดหาใช่ข้อสำคัญไม่ แต่ต้องถือว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยทั้งสองฝ่ายมีเจตนาที่จะเป็นเจ้าของร่วมกัน เมื่อทรัพย์พิพาททั้งหมดเป็นทรัพย์ที่ได้มาระหว่างที่โจทก์จำเลยอยู่ร่วมกัน ทั้งคดียังได้ความว่า เมื่อนายเชษฐาน้องชายโจทก์กู้เงินจากธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ จำกัด โดยนำเงินกู้ที่ได้รับไปให้โจทก์นั้น จำเลยได้นำทรัพย์พิพาทรายนี้จำนองเป็นประกันหนี้เงินกู้ดังกล่าวด้วย ต่อมานายเชษฐากับโจทก์ไม่ชำระหนี้ และถูกเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์พิพาทเพื่อขายทอดตลาด จำเลยซึ่งขณะนั้นได้แยกทางกับโจทก์แล้ว เป็นผู้นำเงินไปไถ่ถอนทรัพย์พิพาทคืนมาตามเอกสารหมาย ล.๑๑ และ จ.๔ จึงเป็นการชอบด้วยกฎหมายและความยุติธรรมเป็นอย่างยิ่งที่จะให้โจทก์และจำเลยมีส่วนในทรัพย์ที่พิพาททั้งหมดคนละกึ่งหนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๘๒๓ พร้อมบ้านเลขที่ ๒๔๑/๓๐ ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๘๒๗ และ ๑๘๒๘ ทั้งหมดอยู่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก ให้โจทก์ถือกรรมสิทธิ์กึ่งหนึ่ง หากจำเลยไม่ดำเนินการดังกล่าว ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ.

Share