แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยปลูกสร้างบ้านและรั้วบนที่ดินสาธารณะปิดหน้าที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การว่า บ้านและรั้วตั้งอยู่บนที่ดินที่ติดกับที่ดินของจำเลย มิได้อยู่ในเขตโฉนดที่ดินของจำเลย คู่ความท้ากัน ให้เจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดสอบเขตที่ดินของจำเลย หากได้ความว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของจำเลยและไม่ใช่ที่สาธารณะโจทก์ยอมแพ้คดี หากที่พิพาทอยู่นอกเขตโฉนดที่ดินของจำเลยและเป็นที่สาธารณะ จำเลยยอมแพ้คดี ปรากฏว่าเจ้าพนักงานที่ดินมิได้รังวัดสอบเขตตามคำท้า แต่กลับรังวัดทำแผนที่พิพาทไปตามเขตที่ครอบครองซึ่งโจทก์จำเลยนำชี้ โดยจำเลยนำชี้ว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของตนซึ่งนอกคำให้การดังกล่าวข้างต้น แผนที่พิพาทจึงมิได้เกิดจากการที่เจ้าพนักงานที่ดินสอบเขตที่ดินตามคำท้า ฉะนั้น แนวเขตเส้นสีแดงในแผนที่พิพาทจึงถือไม่ได้ว่าเป็นแนวเขตที่ดินตามโฉนดของจำเลย ทั้งตามหนังสือนำส่งแผนที่พิพาทของ เจ้าพนักงานที่ดินก็มีข้อความว่า ไม่สามารถระบุได้ว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินสาธารณประโยชน์หรือไม่เนื่องจากผู้แทนประธานสุขาภิบาลไม่สามารถชี้เขตที่ดินสาธารณะที่แน่นอนได้ แสดงว่าไม่สามารถปฏิบัติตามคำท้าที่ว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะหรือไม่ จึงไม่อาจนำแผนที่พิพาทมาใช้เป็นหลักฐานในการวินิจฉัยตามคำท้าได้ จะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๔๗๐๗ จำเลยทั้งสองได้ปลูกสร้างบ้านและรั้วบนที่ดินสาธารณะปิดหน้าที่ดินของโจทก์ทั้งสอง ทำให้โจทก์ทั้งสองเสียหาย ขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองรื้อบ้านและรั้วพร้อมสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกไปไม่ให้กีดขวางปิดบังหน้าดินโจทก์ทั้งสอง หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสองให้โจทก์ทั้งสองหรือบุคคลอื่นรื้อบ้านและรั้วพร้อมสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด โดยจำเลยทั้งสองเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย
จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๒๖๒ เลขที่ดิน ๓๓๑ ตำบลท่างาม อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี บ้านและรั้วพิพาทตั้งอยู่บนที่ดินที่ติดกับที่ดินของจำเลยทั้งสอง ซึ่งได้ครอบครองมานานจนได้กรรมสิทธิ์แล้ว
ในวันชี้สองสถาน คู่ความขอให้เจ้าพนักงานที่ดินออกไปรังวัดสอบเขตที่ดินของจำเลยตามโฉนดเลขที่ ๕๒๖๒ (เลขที่ดิน ๓๓๑) เพื่อให้รู้ว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของจำเลยหรือไม่ แล้วคู่ความแถลงท้ากันว่า หากที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินตามโฉนดที่ดินของจำเลยแล้วโจทก์แพ้คดี แต่หากว่าที่พิพาทอยู่นอกโฉนดที่ดินจำเลยและเป็นที่สาธารณะจำเลยแพ้คดี และถ้าเจ้าพนักงานที่ดินยืนยันว่าที่พิพาทไม่ใช่ที่สาธารณะ โจทก์ก็ยอมแพ้คดีเช่นกัน
ต่อมาคู่ความได้มาติดต่อขอหนังสือศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๓๐ และวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๓๐ ซึ่งมีข้อความระบุให้เจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๒๖๒ ของจำเลยและที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๔๗๐๗ ของโจทก์ เพื่อนำเจ้าพนักงานที่ดินออกไปทำการรังวัดสอบเขตที่ดินดังกล่าว ครั้นวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๓๐ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสิงห์บุรีได้มีหนังสือนำส่งแผนที่พิพาทมายังศาลชั้นต้นมีข้อความระบุว่าในวันทำการรังวัด โจทก์และจำเลยได้นำช่าง ๆ ทำการรังวัดทำแผนที่พิพาทไปตามเขตที่ครอบครองและตามหนังสือศาลที่ระบุว่า ให้แสดงให้ชัดเจนว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่สาธารณประโยชน์หรือไม่นั้น ทางสำนักงานที่ดินไม่สามารถจะระบุได้ เนื่องจากผู้แทนประธานสุขาภิบาลไม่สามารถจะชี้เขตที่สาธารณะที่แน่นอนได้ ครั้นถึงวันนัดพร้อมศาลชั้นต้นได้ตรวจดูแผนที่พิพาท เห็นว่าข้อเท็จจริงพอวินิจฉัยได้ตามคำท้าแล้ว ศาลชั้นต้นจึงได้มีคำสั่งให้นัดฟังคำพิพากษาในวันเดียวกันแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัย คำท้าของคู่ความตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๓๐ ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินออกไปรังวัดสอบเขตที่ดินของจำเลยตามโฉนดเลขที่ ๕๒๖๒ เพื่อให้รู้ว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของจำเลยหรือไม่ เพราะโจทก์ฟ้องว่าจำเลยปลูกสร้างบ้านและรั้วบนที่ดินสาธารณะปิดหน้าที่ดินของโจทก์จำเลยทั้งสองให้การว่า บ้านและรั้วพิพาทตั้งอยู่บนที่ดินที่ติดกับที่ดินของจำเลยทั้งสอง ซึ่งแสดงว่ามิได้อยู่ในเขตโฉนดที่ดินของจำเลจึงได้มีการท้ากันดังกล่าว แต่เจ้าพนักงานที่ดินหาได้รังวัดสอบเขตตามที่คู่ความได้ท้ากันไม่ กลับรังวัดด้วยการนำชี้ของโจทก์จำเลยดังปรากฏการนำชี้ในแผนที่พิพาทที่เจ้าพนักงานที่ดินส่งศาลชั้นต้นในหนังสือนำส่งแผนที่พิพาทก็ยังยืนยันว่าโจทก์จำเลยได้นำช่าง ๆ ทำการรังวัดทำแผนที่พิพาทไปตามเขตที่ครอบครอง ในแผนที่พิพาทนั้นจึงปรากฏว่าจำเลยได้นำชี้เอาที่พิพาทให้อยู่ในเขตโฉนดที่ดินของตนเป็นการนอกคำให้การที่ว่าที่พิพาทตั้งอยู่บนที่ดินติดกับที่ดินของจำเลย หาใช่อยู่ในเขตที่ดินของจำเลยดังที่นำชี้ให้ทำแผนที่พิพาทไม่ แผนที่พิพาทจึงมิได้เกิดจากการที่เจ้าพนักงานที่ดินสอบเขตที่ดินตามที่คู่ความตกลงท้ากัน เพราะฉะนั้นแนวเขตเส้นสีแดงในแผนที่พิพาทจะถือเป็นแนวเขตที่ดินตามโฉนดของจำเลยหาได้ไม่การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าได้ตรวจดูแผนที่พิพาทแล้ว ปรากฏว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของจำเลย โจทก์จึงต้องแพ้คดีตามที่ได้ท้ากันไว้ และที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำว่า “ทำการรังวัด” ฟังได้แล้วว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดินจังหวัดสิงห์บุรีได้ออกไปทำการรังวัดสอบเขตที่ดินของจำเลยทั้งสองและที่พิพาทตามคำท้าแล้วจึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา และโดยที่ปรากฏตามหนังสือของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสิงห์บุรีนำส่งแผนที่พิพาทว่าไม่สามารถจะระบุได้ว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่สาธารณประโยชน์หรือไม่เนื่องจากผู้แทนประธานสุขาภิบาลไม่สามารถจะชี้เขตที่สาธารณะที่แน่นอนได้ แสดงว่าไม่สามารถปฏิบัติตามคำท้าที่ว่า ที่พิพาทเป็นที่สาธารณะหรือไม่ จึงไม่อาจนำแผนที่พิพาทมาเป็นหลักฐานในการวินิจฉัยตามคำท้าของคู่ความได้ ต้องดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ฎีกาโจทก์ทั้งสองฟังขึ้น
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาล ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่