คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2561/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ได้นำเจ้าพนักงานรังวัดที่ดินพิพาทเพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ แม้จำเลยได้ลงชื่อรับรองแนวเขตที่ดินในฐานะเจ้าของที่ดินข้างเคียงซึ่งเป็นการยอมรับสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์แล้วก็ตาม แต่อีกสองเดือนถัดมาจำเลยก็ได้คัดค้าการที่ทางราชการจะออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ อันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ในที่ดินพิพาท และจำเลยได้เข้าครอบครองทำกินในที่ดินพิพาทตลอดมาเช่นนี้ เมื่อโจทก์ไม่ได้ฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืนภายใน 1 ปีย่อมหมดสิทธิฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง และให้ออกจากที่ดินพิพาท หากไม่ปฏิบัติตาม ขอถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยกับสามีร่วมกันฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง และเพิกถอนชื่อโจทก์ออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้วใส่ชื่อจำเลยแทน หากโจทก์ไม่ไปจดทะเบียนแก้ไขดังกล่าว ให้ถือคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งเหมือนฟ้องเดิม และต่อสู้ว่า ฟ้องแย้งของจำเลยเคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทของโจทก์ห้ามเกี่ยวข้อง และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ หากจำเลยขัดขืนไม่ออกจากที่ดินพิพาทก็เป็นเรื่องที่โจทก์ต้องร้องขอต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี ไม่ใช่ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้ยกคำขอในส่วนนี้ของโจทก์ และยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้เพิกถอนชื่อโจทก์ออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของที่ดินพิพาท แล้วใส่ชื่อจำเลยหากโจทก์ไม่แก้ไขให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นฝ่ายเข้าครอบครองทำประโยชนในที่ดินพิพาทแต่ฝ่ายเดียวมาโดยตลอด แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ดังที่โจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๒๐ โจทก์ได้นำเจ้าพนักงานรังวัดที่ดินพิพาทเพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และจำเลยได้ลงชื่อรับรองแนวเขตที่ดินพิพาทในฐานะเจ้าของที่ดินข้างเคียง อันเป็นการยอมรับสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ก็ตาม แต่ในเดือนมีนาคม ๒๕๒๐ จำเลยก็ได้คัดค้านการที่ทางราชการจะออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์อันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ในที่ดินพิพาท และจำเลยได้เข้าครอบครองทำกินในที่ดินพิพาทตลอดมาเช่นนี้ เมื่อโจทก์ไม่ได้ฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืนภายใน ๑ ปี ย่อมหมดสิทธิฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕ ฯลฯ
พิพากษายืน.

Share