คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2422/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ก่อนที่ ก. จะขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย แต่เมื่อโจทก์ได้ที่ดินพิพาทมาโดย ทางอื่นนอกจากนิติกรรม และยังมิได้จดทะเบียนการได้ มาต่อ พนักงานเจ้าหน้าที่ โจทก์จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้ สิทธิมาโดย เสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1299 วรรคสอง
ก่อนซื้อ ที่ดินพิพาท จำเลยไปดู ที่ดินพบบิดาโจทก์อยู่ในที่ดินพิพาท บิดาโจทก์บอกจำเลยว่าเช่า ที่ดินพิพาทจาก ก. หากจำเลยซื้อ ที่ดินพิพาทจะขอเช่า อยู่ต่อไป พฤติการณ์ดังกล่าวยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยรู้แล้ว ในขณะซื้อ ที่ดินพิพาทว่าโจทก์ครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทอยู่และรับโอนที่ดินโดย ไม่สุจริต โจทก์จึงยกการได้ที่ดินพิพาทมาโดย การครอบครองปรปักษ์ขึ้นต่อสู้ จำเลย ซึ่ง เป็นบุคคลภายนอกผู้ได้ สิทธิมาโดยสุจริต เสียค่าตอบแทน และจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้ โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทซึ่ง เป็นของจำเลยยังไม่ถึงสิบปี จึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ซื้อที่ดินโฉนดที่ ๗๑๖๘ พร้อมสิ่งปลูกสร้างและเข้าทำประโยชน์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนับแต่ซื้อมาจนปัจจุบันเป็นเวลากว่า ๒๐ ปีแล้ว จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๒๒ โจทก์ทราบว่าที่ดินส่วนด้านหลังอาคารที่โจทก์ครอบครองเนื้อที่ ๑ ตารางวาเศษเป็นส่วนหนึ่งของโฉนดที่ดินที่ ๕๒๘๘ ของจำเลย ตามแผนที่สังเขปแสดงที่ตั้งของที่ดินภายในเส้นสีแดงเอกสารท้ายฟ้องซึ่งโจทก์ได้ครอบครองมาเกินกว่า ๑๐ ปี โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเนื้อที่ ๑ ตารางวาเศษเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ให้จำเลยไปรังวัดแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวออกจากโฉนดที่ดินของจำเลยใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนา ห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดินส่วนที่โจทก์ได้กรรมสิทธิ์
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๒๘๘ ซึ่งจำเลยได้รับโอนกรรมสิทธิ์มาจากนายกัญจน ตังทัตสวัสดิ์ โดยเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว นับแต่จำเลยได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวจนถึงปีปัจจุบันเป็นเวลา ๖ ปีเศษเท่านั้น โจทก์ยังไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ ๑๖๕๘๔/๒๕๒๓ ของศาลแพ่ง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฏีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ได้ครอบครองที่ดินพิพาทต่อเนื่องกันตลอดมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๙ โดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาเกินกว่าสิบปีแล้ว โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา + ๘๒ ก่อนที่นายกัญจนจะขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยแต่เมื่อโจทก์ได้ที่ดินพิพาทมาโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม และยังมิได้จดทะเบียนการได้มาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โจทก์จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง โจทก์ฏีกาว่าจำเลยซื้อที่ดินพิพาทโดยทราบว่าบิดาโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทอยู่จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยได้รับโอนที่ดินพิพาทโดยสุจริตแต่โจทก์ก็มิได้นำสืบให้เห็นว่า จำเลยรับโอนที่ดินพิพาทโดยไม่สุจริตอย่างไร คงได้ความจากคำเบิกความของจำเลย นายต่วน งามประวัติดี และนายกัญจน ตังทัตสวัสดิ์ พยานจำเลยว่า ก่อนซื้อที่ดินพิพาท จำเลยและนายต่วนไปดูที่ดิน พบบิดาโจทก์อยู่ในที่ดินพิพาท บิดาโจทก์บอกจำเลยว่าเช่าที่ดินพิพาทจากนายกัญจน หากจำเลยซื้อที่ดินพิพาทจะขอเช่าอยู่ต่อไปเท่านั้น พฤติการณ์ดังกล่าวยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยรู้แล้วในขณะที่ซื้อที่ดินพิพาทว่าโจทก์ครอบครองปรปักษ์ที่ดินพาทอยู่และรับโอนที่ดินโดยไม่สุจริตโจทก์จึงยกการได้ที่ดินพิพาทมาโดยการครอบครองปรปักษ์ขึ้นต่อสู้จำเลย ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธโดยสุจริตแล้วไม่ได้ เมื่อโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของจำเลยยังไม่ถึงสิบปี โจทก์จึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์
พิพากษายืน.

Share