คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2144/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยต่ำกว่าอัตราโทษตามที่กฎหมายกำหนดเป็นปัญหาที่ศาลอุทธรณ์จะต้อง วินิจฉัยให้ การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยโดยไม่ปรากฏเหตุผลจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยใหม่
คำพิพากษาศาลล่างไม่ได้ระบุว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามวรรคใด ศาลสูงแก้ไขให้ถูกต้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามทำไม้สักอันเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. … ภายในบริเวณป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันมีไม้สักอันยังมิได้แปรรูปอันเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. … ไว้ในครอบครองโดยไม้ดังกล่าวไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรอยตรารัฐบาลขาย และจำเลยทั้งสามพิสูจน์ไม่ได้ว่าได้ไม้ดังกล่าวมาโดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๐๗ มาตรา ๑๔, ๓๑, ๓๕ ที่แก้ไขแล้ว พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.๒๔๘๔ มาตรา ๗, ๑๑, ๖๙, ๗๔, ๗๔ ทวิ ที่แก้ไขแล้ว ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๙๑ ริบของกลาง
จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๐๗ มาตรา ๑๔, ๓๑, ๓๕ พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.๒๔๘๔ มาตรา ๗, ๑๑, ๖๙, ๗๔, ๗๔ ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๙๑ ให้ลงโทษฐานทำไม่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จำคุกคนละ ๑ ปี ปรับคนละ ๕,๐๐๐ บาท และฐานมีไม้หวงห้ามจำคุกคนละ ๑ ปี ปรับคนละ ๔,๐๐๐ บาท รวมจำคุกคนละ ๒ ปี ปรับคนละ ๙,๐๐๐ บาท จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คนละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ ๑ ปี ปรับคนละ ๔,๕๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนดคนละ ๒ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ ของกลางริบ
โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นลงโทษต่ำกว่าอัตราโทษตามกฎหมายและขอไม่ให้รอการลงโทษจำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รอการลงโทษให้จำเลยทั้งสามเมื่อไม่รอการลงโทษแล้วก็ไม่ปรับจำเลยทั้งสาม นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ในข้อที่ว่าศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสามต่ำกว่าอัตราโทษตามที่กฎหมายกำหนดเป็นการไม่ชอบ พิเคราะห์แล้ว เมื่อโจทก์อุทธรณ์ในปัญหาดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์ จึงเป็นปัญหาที่ศาลอุทธรณ์จะต้องวินิจฉัยให้ การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยโดยไม่ปรากฏเหตุผล เป็นการไม่ชอบ แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยใหม่ คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามในความผิด ๒ ข้อหา คือร่วมกันทำไม้โดยตัดฟัน โค่น เลื่อย และชักลากไม้สัก ไม้รัง ไม้ประดู่และไม้ทะโล้ซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันมีไม้สัก ไม้รัง ไม้ประดู่และไม้ทะโล้ ซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ยังไม่ได้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรายตรารัฐบาลขาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๐๗ มาตรา ๑๔, ๓๑, ๓๕ ที่แก้ไขแล้ว พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.๒๔๘๔ มาตรา ๗, ๑๑, ๖๙, ๗๔, ๗๔ ทวิ ที่แก้ไขแล้ว ซึ่งความผิดข้อหาแรกเป็นกรณีที่ต้องด้วยพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๐๗ มาตรา ๑๔, ๓๑ วรรคสอง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๒ ปี ถึง ๑๕ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ บาท ถึง ๑๕๐,๐๐๐ บาท ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นวางโทษจำเลยทั้งสามในข้อหานี้โดยให้จำคุกคนละ ๑ ปี ปรับคนละ ๕,๐๐๐ บาท จึงเป็นการลงโทษต่ำกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดเป็นการไม่ชอบ และในข้อหมายที่สองเป็นกรณีที่ต้องด้วยพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.๒๔๘๔ มาตรา ๖๙ วรรคสอง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ ปี ถึง ๒๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๕,๐๐๐ บาท ถึง ๒๐๐,๐๐๐ บาท ที่ศาลชั้นต้นวางโทษจำเลยทั้งสามในข้อหานี้โดยให้จำคุกคนละ ๑ ปี ปรับคนละ ๔,๐๐๐ บาท จึงเป็นการลงโทษปรับต่ำกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดเป็นการไม่ชอบเช่นเดียวกัน แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นไม่ปรับ ซึ่งชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน และคำพิพากษา ศาลล่างทั้งสองไม่ได้ระบุว่าการกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดตามวรรคใด เห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๐๗ มาตรา ๑๔, ๓๑ วรรคสอง ที่แก้ไขแล้ว พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.๒๔๘๔ มาตรา ๖๙ วรรคสอง ที่แก้ไขแล้ว ฐานทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติให้จำคุกคนละ ๒ ปี ฐานมีไม้หวงห้าม ให้จำคุกคนละ ๑ ปี รวมจำคุกคนละ ๓ ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงให้จำคุกคนละ ๑ ปี ๖ เดือน ของกลางให้ริบ.

Share