คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3719/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กรณีที่คู่ความยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีอำนาจตรวจคำฟ้องอุทธรณ์และมีคำสั่งรับหรือไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 232 กรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ หากคู่ความประสงค์จะยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น คู่ความจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 234 บัญญัติไว้ หากคู่ความไม่นำเงินค่าฤชาธรรมเนียม และเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันมาวางศาลภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ศาลชั้นต้นจะต้องส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์พิจารณาสั่งต่อไป ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งอีกไม่ได้ เพราะพ้นอำนาจของศาลชั้นต้นไปแล้ว หากศาลชั้นต้นกลับมีคำสั่งไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ถ้าไม่มีเหตุต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งใหม่ ศาลฎีกาชอบที่ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของคู่ความนั้นได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมากจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินตามเช็ค พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงินตามเช็ค นับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คจนกว่าจำเลยทั้งสี่จะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ ๘,๐๐๐ บาท หลังจากนั้นจำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ยื่นอุทธรณ์ได้จนถึงวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๔๒ จำเลยทั้งสี่ยื่นอุทธรณ์วันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๔๒ พ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์
จำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ฉบับ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๔๒ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสี่นำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันมาวางไว้ต่อศาลภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคือวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๔๒ จำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินตามคำสั่งศาลออกไปเป็นเวลา ๓๐ วัน ศาลชั้นต้นอนุญาต ต่อมาวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๔๒ จำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินออกไปอีก ๓๐ วัน ศาลชั้นต้นอนุญาตและกำชับว่า ให้เป็นครั้งสุดท้ายภายในวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๔๒ แต่ในวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๒ จำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินต่อศาลออกไปอีก ๓๐ วัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง และในวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๔๒ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องขอของจำเลยทั้งสี่ที่อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ฉบับวันที่ ๒๙ กรกฏตาคม ๒๕๔๒ ว่า ผู้อุทธรณ์ไม่นำเงินต่าง ๆ มาวางต่อศาลภายในกำหนด จึงไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินฉบับวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๒
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยฎีกาของจำเลยทั้งสี่ว่า มีเหตุให้ขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ให้แก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลาในการนำค่าฤชาธรรมเนียมและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลถึงสามครั้ง รวมเวลาทั้งสิ้นเกือบสามเดือน เหตุที่จำเลยทั้งสี่ยกขึ้นอ้างขอเลื่อนการวางเงินออกไปอีก ก็มาจากเหตุเดียวกันคือยังไม่สามารถหยิบยืมเงินมาชำระได้ ซึ่งเป็นเหตุผลส่วนตัวของจำเลยทั้งสี่เอง จึงไม่มีเหตุให้ขยายระยะเวลาวางเงินออกไปอีก ซึ่งเป็นเหตุผลส่วนตัวของจำเลยทั้งสี่เอง จึงไม่มีเหตุให้ขยายระยะเวลาวางเงินออกไปอีก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายืน ให้ยกคำร้องของจำเลยทั้งสี่ฉบับวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๒ นั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสี่ฟังไม่ขึ้นอย่างไรก็ตามในกรณีที่คู่ความยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีอำนาจตรวจคำฟ้องอุทธรณ์และมีคำสั่งรับหรือไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๓๒ กรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ หากคู่ความประสงค์จะยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น คู่ความจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๓๔ บัญญัติไว้ หากคู่ความไม่นำเงินค่าฤชาธรรมเนียม และเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันมาวางศาลภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ศาลชั้นต้นจะต้องส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์พิจารณาสั่งต่อไป ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งอีกไม่ได้ เพราะพ้นอำนาจของศาลชั้นต้นไปแล้ว ดังนั้นเมื่อจำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ฉบับ วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๔๒ โดยจำเลยทั้งสี่มิได้นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมและเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษา หรือหาประกันมาวางต่อศาลภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด และศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๔๒ ไม่รับอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงไม่ถูกต้อง แต่ไม่มีเหตุที่จะต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งใหม่ ศาลฎีกาเห็นสมควรในเรื่องนี้ไปพร้อมกัน ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่าการที่จำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวโดยไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๓๔ ถือเป็นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสี่ดังกล่าวเสียด้วย
พิพากษายืน และให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสี่ฉบับวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๔๒ โจทก์มิได้ยื่นคำแก้ฎีกาจึงไม่กำหนดค่าทนายความให้

Share