คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2632/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องแย้งของจำเลยมีทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินห้าหมื่นบาท ดังนั้น เมื่อคดีตามฟ้องแย้งศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ได้มอบอำนาจให้นายไพบูลย์ สุวรรณศรี ผู้จัดการฝ่ายธุรการมีอำนาจดำเนินการต่าง ๆ ของบริษัทรวมทั้งฟ้องคดีได้ โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าบ้านจากจำเลยเพื่อให้นาย ไอ.ดี.โบลเธ่อร์ กรรมการบริษัทโจทก์พักอยู่อาศัยในอัตราค่าเช่าเดือนละ ๑๒,๗๕๐ บาท มีระยะเวลาการเช่า ๒๔ เดือน ได้วางเงินค่าเช่าล่วงหน้า ๖ เดือน เป็นเงิน ๗๖,๕๐๐ บาทให้จำเลยเป็นมัดจำในกรณีที่นาย ไอ.ดี.โบลเธ่อร์ จะต้องเดินทางออกไปจากประเทศไทยก่อนครบอายุสัญญาเช่าจำเลยยอมให้โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าได้โดยต้องบอก ล่าวล่วงหน้าเป็นเวลา ๓๐ วัน จำเลยจะคืนเงินค่าเช่าล่วงหน้าที่วางไว้ให้โจทก์ ต่อมานายไอ.ดี.โบลเธ่อร์ได้ถูกย้ายไปจากประเทศไทย โจทก์จึงแจ้งบอกเลิกการเช่าไปยังจำเลยและแจ้งให้จำเลยคืนค่าเช่าล่วงหน้าโดยยอมให้ค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าเช่าโทรศัพท์ที่ค้างชำระไว้ แต่จำเลยกลับมอบให้ทนายความแจ้งว่า นายไอ.ดี.โบลเธ่อร์ปฏิบัติผิดสัญญาไม่ดูแลทรัพย์สินที่เช่า ทำให้ทรัพย์สินเสียหายและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากอาคารเช่าเสียหายเป็นเงิน ๖๔,๒๕๐ บาท กับค้างค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา ค่าโทรศัพท์อีก ๑๐,๑๖๕ บาท ๗๒ สตางค์ หักค่าเช่าแล้วโจทก์จะต้องชดใช้ให้จำเลย ๑๐,๖๖๕ บาท ๗๒ สตางค์ โจทก์เห็นว่าค่าเสียหายที่จำเลยกล่าวอ้างไม่เป็นความจริง เมื่อหักค่าซ่อมแซมเล็กน้อยกับค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า และค่าโทรศัพท์แล้ว จำเลยยังต้องคืนเงินให้โจทก์ ๕๒,๗๘๘ บาท ๒๘ สตางค์ โจทก์แจ้งให้จำเลยคืนเงินจำนวนดังกล่าวแล้วจำเลยไม่ยอมคืน ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยคืนเงินแก่โจทก์รวมทั้งดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า บริษัทโจทก์ไม่เคยมอบอำนาจให้นายรอยยอร์จ ชวอร์ตแมนน์มอบอำนาจให้นายไพบูลย์ สุวรรณศรี ดำเนินคดีแทนบริษัทได้บริษัทโจทก์โดยนายไพบูลย์ สุวรรณศรี ผู้รับมอบอำนาจจึงไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ทำสัญญาเช่าบ้านจำเลยจริง แต่ในส่วนที่เกี่ยวกับการคืนค่าเช่าล่วงหน้าไม่เป็นความจริง โจทก์ทำสัญญาเช่าเป็นเวลา ๒๔ เดือน เมื่อโจทก์บอกเลิกการเช่าก่อนครบกำหนดสัญญาโดยจำเลยมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยย่อมได้รับความเสียหายเพราะได้ลงทุนซ่อมแซมปรับปรุงอาคารที่เช่าก่อนให้เช่า โดยเชื่อว่าโจทก์จะเช่าอยู่ไม่น้อยกว่า ๒๔ เดือนตามสัญญา การบอกเลิกสัญญาเช่าก่อนกำหนดเป็นความผิดของโจทก์ โจทก์ต้องชำระค่าเช่าให้จำเลยตลอดระยะเวลาการเช่า จึงไม่มีสิทธิเรียกมัดจำคืนเมื่อโจทก์บอกเลิกการเช่า โจทก์ยังคงครอบครองทรัพย์สินที่เช่าตลอดมาอันเป็นการละเมิด จำเลยจึงให้ทนายแจ้งให้โจทก์ส่งมอบอาคารคืนรวมทั้งให้ใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน ๖๔,๒๕๐ บาท โจทก์ค้างชำระค่าเช่า ๑๒,๗๕๐ บาท ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา และค่าโทรศัพท์ ๑๐,๑๖๕ บาท ๗๒ สตางค์ โจทก์เพิ่งส่งมอบอาคารและทรัพย์สินที่เช่าคืนจำเลย เป็นค่าเสียหาย ๒๓ วัน เป็นเงิน ๙,๗๗๕ บาท หากศาลฟังว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้เงินมัดจำการเช่า โจทก์ก็ต้องชำระค่าเสียหายตามสัญญาอีก ๑ เดือนเป็นเงิน ๑๖,๗๕๐ บาท รวมเป็นเงิน ๑๐๙,๖๙๐ บาท ๗๒ สตางค์ เมื่อหักเงินมัดจำการเช่าที่จำเลยรับไว้ ๗๖,๕๐๐ บาทแล้ว โจทก์ต้องรับผิดชดใช้ให้จำเลยอีก ๓๓,๑๙๐ บาท ๗๒ สตางค์ และต้องชำระดอกเบี้ยในจำนวนเงินดังกล่าว จึงขอให้ยกฟ้องโจทก์ และให้โจทก์ใช้เงิน ๓๓,๑๙๐ บาท ๗๒ สตางค์ พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์มีสิทธิบอกเลิกการเช่าได้ตามสัญญาและได้ส่งมอบบ้านเช่าแก่จำเลยในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๑๗ แต่จำเลยรับมอบเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๑๗ จำเลยไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย เพราะโจทก์มิได้ผิดสัญญาค่าเช่าเดินกันยายน ค่าไฟฟ้า น้ำประปา และโทรศัพท์ โจทก์ยอมให้จำเลยหักจากมัดจำการเช่าจึงมิได้ค้างชำระ นายไอ.ดี.โบลเธ่อร์ดูแลรักษาทรัพย์ที่เช่าประดุจบ้านของตนเอง มิได้ทำให้เสียหายเป็นเงิน ๖๔,๒๕๐ บาทดังฟ้องแย้ง ความเสียหายเกิดจากการใช้สอยตามปกติซึ่งโจทก์ยอมรับผิดชดใช้และยอมให้หักจากมัดจำการเช่าเพียง ๓ รายการเป็นเงิน ๘๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง โจทก์ได้บอกเลิกการเช่าโดยชอบมีสิทธิเรียกค่าเช่าล่วงหน้าคืน แต่โจทก์ค้างชำระค่าเช่า ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา ค่าโทรศัพท์ และส่งมอบบ้านคืนเมื่อพ้นกำหนดเวลาต้องใช้ค่าเสียหายให้แก่จำเลย และฟังว่าจำเลยได้รับความเสียหายในกรณีที่ผู้เช่าทำให้อาคารและทรัพย์สินของจำเลยเสียหายซึ่งโจทก์ต้องชดใช้ เมื่อหักกลบลบหนี้กันแล้วจำเลยยังต้องคืนเงินค่าเช่าล่วงหน้าที่ได้รับไว้ให้แก่โจทก์ พิพากษาให้จำเลยคืนเงินแก่โจทก์ ๒๑,๕๕๙ บาท ๒๘ สตางค์ พร้อมทั้งดอกเบี้ย คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง และให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายตามฟ้องแย้ง
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องแย้งของจำเลยแม้จะอ้างว่าเสียหายเกินห้าหมื่นบาท แต่เมื่อหักกลบลบกับเงินที่โจทก์ต้องชำระแก่จำเลยแล้ว โจทก์ยังต้องชำระเงินให้จำเลยอีก ๓๓,๑๙๐ บาท ๗๒ สตางค์ ซึ่งเป็นทุนทรัพย์เรียกร้องในฟ้องแย้ง ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นคดีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินห้ามหมื่นบาท เมื่อคดีตามฟ้องแย้งศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๘ ฎีกาที่จำเลยโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดค่าเสียหายเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องฟังว่าหนังสือมอบอำนาจเป็นหนังสือมอบอำนาจของบริษัทโจทก์ให้แก่นายไพบูลย์ สุวรรณศรี นายไพบูลย์ สุวรรณศรี จึงมีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ โจทก์บอกเลิกการเช่าแล้วและมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าได้ก่อนครบกำหนดระยะเวลาการเช่าตามสัญญาโดยไม่ต้อง ชดใช้ค่าเช่า ๑ เดือน เป็นค่าเสียหายให้แก่ผู้ให้เช่า และผู้ให้เช่าต้องคืนเงินค่าเช่าล่วงหน้าให้แก่ผู้เช่าด้วย
พิพากษายืน

Share