คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2405/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยยืมเงินของโจทก์แล้วออกเช็คสั่งจ่ายเงินเท่าจำนวนที่จำเลยยืมไปให้โจทก์ไว้ เมื่อโจทก์นำเช็คไปรับเงินจากธนาคารไม่ได้และทวงถามให้จำเลยชำระหนี้จำเลยได้มีจดหมายถึงโจทก์ขอความเห็นใจมิให้โจทก์นำเช็คไปแจ้งความและรับรองว่าจะชำระเงินที่จำเลยยืมไปจนครบ ดังนี้ ข้อความตามเอกสารเหล่านั้นเมื่อประกอบเข้าด้วยกันย่อมถือได้ว่าการกู้ยืมเงินรายนี้มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยผู้ยืมเป็นสำคัญ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ยืมเงินของโจทก์ไปรวมเป็นเงิน ๒๙,๗๐๐ บาท แล้วจ่ายเช็คใช้คืนให้รวม ๓ ฉบับ โดยจำเลยรับรองว่าโจทก์จะได้รับเงินคืนทั้งหมดในเดือนมิถุนายน ๒๕๐๙ หากผิดนัดก็ยอมให้โจทก์กรอกวันที่สั่งจ่ายในเช็ค ๓ ฉบับ แล้วนำไปแจ้งความดำเนินคดีอาญากับจำเลยได้โดยเช็นชื่อกำกับไว้ตรงช่องวันที่ในเช็คทั้ง ๓ ฉบับนั้น ก่อนถึงเดือนมิถุนายน ๒๕๐๙ จำเลยมีหนังสือถึงโจทก์โดยยืนยันว่าจะชำระหนี้ให้ไม่เกินเดือนมิถุนายน ๒๕๐๙ แต่ก็ไม่จัดการชำระให้ โจทก์ได้นำเช็คของจำเลยประทับตราลงวันที่สั่งจ่ายแล้วนำไปเข้าบัญชีของโจทก์ที่ธนาคารออมสินเพื่อเรียกเก็บเงินตาม เช็ค แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโดยอ้างว่าบัญชีปิดแล้ว โจทก์แจ้งให้จำเลยทราบและทวงถามให้จำเลยชำระหนี้จำเลยได้มีหนังสือรับสภาพหนี้ ความว่า จำเลยจะจัดการให้โดยจะมาขอพบโจทก์ประมาณวันที่ ๒๓-๒๕ ธันวาคม ๒๕๐๙ แต่พอถึงกำหนดจำเลยก็ผิดนัดและมีหนังสือถึงโจทก์ว่าจะต้องจ่ายเงินที่ค้างอยู่จนครบ แต่ก็ไม่ชำระโจทก์มอบให้ทนายทวงถาม จำเลยก็เพิกเฉยจึงขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การว่า เมื่อประมาณ ๑๐ ปีมานี้ จำเลยเปิดร้านขายหนังสือและชวนโจทก์เข้าหุ้นโดยจะแบ่งกำไรให้โจทก์ ๑๐% ของจำนวนเงินที่นำมาลงทุน โจทก์นำเงินมาลงทุน ๓ ครั้ง คือ ๗,๗๐๐ บาท, ๑๒,๐๐๐ บาท และ ๑๐,๐๐๐ บาทตามลำดับ รวมเป็นเงิน ๒๙,๗๐๐ บาท จำเลยได้ออกเช็คให้โจทก์ ๓ ฉบับ ให้โจทก์ยึดถือเป็นประกันจำเลยได้ไปรับราชการต่างจังหวัด จึงได้เลิกกิจการค้าหนังสืบและคืนเงินให้โจทก์ ๒๙,๗๐๐ บาท พร้อมทั้งผลกำไรแล้ว แต่เช็ค ๓ ฉบับจำเลยไม่ได้ขอคืนเพราะไว้ใจโจทก์ เช็คขาดอายุความแล้ว จำเลยไม่เคยกู้เงินโจทก์ โจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อจำเลยเป็นสำคัญจึงฟ้องจำเลยไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยใช้เงิน ๓๕,๓๓๗ บาท ๕๐ สตางค์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน ๒๕,๗๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยตามที่จำเลยฎีกาว่า เช็คตามเอกสารหมาย จ.๑ จ.๒ และ จ.๓ กับเอกสาร จ.๖ และ จ.๗ ไม่ใช่หลักฐานแห่งการกู้ยืมเงิน เพราะไม่มีข้อความระบุถึงการยืมเงินและจำนวนเงินที่กู้ยืม และการสืบพยานบุคคลประกอบเอกสารดังกล่าวเท่ากับเป็นการสืบเพิ่มเติมเอกสารต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔ นั้นว่า โจทก์หาได้นำพยานบุคคลมาสืบเพิ่มเติม ข้อความในเช็คและจดหมายของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.๑ ถึง จ.๓ และ จ.๖, จ.๗ แต่ประการใดไม่ กล่าวคือ เอกสารดังกล่าวมีความหมายชัดแจ้งอยู่ในตัวแล้ว โจทก์นำสืบว่าจำเลยยืมเงินจากโจทก์ ๒๙,๗๐๐ บาท แล้วออกเช็ค ๓ ฉบับ สั่งจ่ายเงินเท่าจำนวนที่จำเลยรับไปให้โจทก์ไว้และจำเลยไม่สืบพยาน ย่อมฟังได้ว่ามูลหนี้ตามเช็คเนื่องจากจำเลยยืมเงินจำนวนดังกล่าวของโจทก์ไป ประกอบกับจดหมายของจำเลยกล่าวพาดพิงถึงเช็คโดยพูดขอความเห็นใจ เพื่อมิให้โจทก์นำเช็คที่จำเลยออกให้ไว้ไปแจ้งความ และจำเลยกล่าวรับรองว่าจะชำระเงินที่จำเลยยืมไปจนครบจำนวน จากข้อความตามเอกสารต่าง ๆ เหล่านี้ เมื่อประกอบเข้าด้วยกัน ย่อมถือได้ว่าการกู้ยืมเงินตามฟ้อง ได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยผู้ยืมเป็นสำคัญ ตามประมวลกฎแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๓ แล้ว
พิพากษายืน

Share