คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2146/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข.ทำหนังสือแสดงเจตนาสละสิทธิครอบครองที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินไว้ล่วงหน้าว่า เมื่อ ข.ตายแล้วให้ที่พิพาทเป็นสิทธิแก่จำเลยเจ้าหนี้แทนการชำระหนี้ เมื่อจำเลยยินยอมตามนี้โดยได้ครอบครองที่พิพาทเพื่อตนตั้งแต่ ข.ตายก็เป็นสิทธิที่คู่กรณีกระทำได้โดยชอบไม่เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 656 วรรค 2 และวรรคสุดท้าย ดังนั้น การครอบครองของ ข.จึงเป็นอันสิ้นสุดลงนับแต่ ข.ตาย จำเลยหาได้ครอบครองที่พิพาทแทน ข. หรือโจทก์ซึ่งเป็นทายาทไม่ จำเลยจึงไม่ตกอยู่ในฐานะเป็นผู้ยึดถือแทนตามประมวลกกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 ไม่จำต้องบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะการครอบครองไปยังโจทก์หรือทายาทอื่นของ ข. จำเลยย่อมได้สิทธิครอบครองที่พิพาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายขลุดบิดาโจทก์ทั้งสองมีที่นา ๑ แปลง นายขลุดถึงแก่กรรมโจทก์ทั้งสองได้เข้าครอบครองต่อมา ไม่มีผู้ใดเข้าเกี่ยวข้องหรือรบกวนสิทธิ โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอรับมรดก จำเลยยื่นคำร้องคัดค้านขอให้อำเภอระงับการโอน โดยอ้างว่านายขลุดทำพินัยกรรมยกที่พิพาทให้จำเลย ความจริงนายขลุดมิได้เคยทำนิติกรรมให้แก่ผู้ใดหากจะมีพินัยกรรมก็เป็นพินัยกรรมปลอม ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยถอนคำคัดค้านที่โจทก์ขอรับมรดก และให้อำเภอจดทะเบียนโอนมรดกให้โจทก์และให้ศาลสั่งว่าพินัยกรรมของจำเลย (ถ้าหากมี) ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยให้การว่า นายขลุดกู้เงินจำเลยแล้วไม่มีเงินชำระหนี้ ได้เอาที่พิพาทตีใช้เงินกู้ให้จำเลย จำเลยครอบครองเป็นเจ้าของมาจนบัดนี้เป็นเวลา ๖ ปีแล้ว โจทก์ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้อง คดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า นายขลุดได้กู้เงินจำเลยไปและได้ทำหนังสือแสดงเจตนาเอาที่พิพาทให้เป็นของจำเลย เมื่อนายขลุดถึงแก่ความตาย หลังจากนายขลุดตายแล้วจำเลยครอบครองที่พิพาทอย่างเป็นเจ้าของตลอดมาเป็นเวลาเกินกว่า ๑ ปีแล้ว จำเลยย่อมได้สิทธิครอบครองตามกฎหมาย โจทก์นำคดีมาฟ้องหลังจากถูกรบกวนการครอบครองเกินกว่า ๑ ปี คดีโจทก์ขาดอายุความ พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่จำเลยยอมรับเอานาพิพาทเป็นการชำระหนี้แทนเงินที่กู้ยืนนั้น ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๖ วรรค ๒ เป็นโมฆะ จำเลยคงมีสิทธิทำนาพิพาทต่างดอกเบี้ยเท่านั้น ไม่อาจได้สิทธิครอบครอง นาพิพาทยังคงเป็นทรัพย์สินในกองมรดกของบิดาโจทก์ โจทก์ทั้งสองในฐานะทายาทมีสิทธิฟ้องได้ แต่ที่โจทก์ขอให้ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในนาพิพาทนั้น จำเลยเป็นเจ้าหนี้กองมรดก จึงมีสิทธิทำนาพิพาทต่างดอกเบี้ย พิพากษากลับว่าที่พิพาทเป็นทรัพย์สินในกองมรดกของนายขลุด ภาครัตน์ ซึ่งโจทก์ทั้งสองในฐานะทายาทโดยธรรมมีส่วนได้เสียอยู่ด้วย คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเดิมเป็นของนายขลุดบิดาโจทก์ นายขลุดได้กู้เงินจำเลยไปและได้ทำสัญญาไว้มีใจความว่า เมื่อนายขลุดตายแล้วให้ยกที่พิพาทให้จำเลยและได้มอบที่พิพาทให้จำเลยครอบครองทำนาในที่พิพาทตลอดมา นายขลุดได้ตายไปแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่านายขลุดได้ทำหนังสือแสดงเจตนาสละสิทธิครอบครองที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินไว้ล่วงหน้าว่าเมื่อนายขลุดตายแล้ว ให้ที่พิพาทเป็นสิทธิแก่จำเลยเจ้าหนี้แทนการชำระหนี้ เมื่อจำเลยยินยอมตามนี้โดยได้ครอบครองที่พิพาทเพื่อตนตั้งแต่นายขลุดตาย ก็เป็นสิทธิที่คู่กรณีกระทำได้โดยชอบ ไม่เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๖ วรรค ๒ และวรรคสุดท้าย ดังนั้น การครอบครองของนายขลุดจึงเป็นอันสิ้นสุดลงเมื่อนายขลุดตาย นับแต่นั้นมาจำเลยหาได้ครอบครองที่พิพาทแทนนายขลุดหรือโจทก์ไม่ จำเลยจึงไม่ตกอยู่ในฐานะเป็นผู้ยึดถือแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๑ ไม่จำต้องบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะการครอบครองไปยังโจทก์หรือทายาทอื่นของนายขลุด จำเลยย่อมได้สิทธิครอบครองที่พิพาท โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเอาที่พิพาทคืนได้
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้องโจทก์

Share