คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1202/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 232 ที่บัญญัติห้ามมิให้โจทก์อ้างจำเลยเป็นพยานนั้น หมายถึงห้ามโจทก์อ้างตัวจำเลยเป็นพยานของโจทก์เท่านั้น ฉะนั้นถึ้งแม้ร้อยเอกจุลจะเคยถูกฟ้องร่วมกับจำเลยทั้งสามมาก่อน ศาลก็ได้สั่งให้แยกฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ต่างหากจากคดีที่ร้อยเอกจุลเคยถูกฟ้องร่วมกับจำเลยทั้งสาม โจทก์จึงอ้างร้อยเอกจุลเป็นพยานได้ โดยขณะที่ร้อยเอกจุลเบิกความเป็นพยานโจทก์ในคดีนี้ ร้อยเอกจุลมิได้อยู่ในฐานะเป็นจำเลย
การที่จำเลยทั้งสามซึ่งเป็นเจ้าพนักงานมีอำนาจสืบสวนสอบสวนและจับกุมผู้กระทำผิด ได้ทราบแล้วว่านายเซ่งเป็นคนยิงนายชาญตาย แต่ไม่ทำการจับกุมอันเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157, 200 ทั้งยังร่วมกันขนย้ายศพนายชาญผู้ตายไปทิ้งเพื่อปิดบังการตายอันเป็นความผิดตามมาตรา 199 นอกจากนี้ยังร่วมกันโกยเลือดนายชาญไปทิ้งที่อื่นอันเป็นความผิดฐานทำลายพยานหลักฐาานในการกระทำผิดตาม มาตรา 184 เช่นนี้ แม้การกระทำของจำเลยทั้งสามจะเป็นการกระทำหลายอย่าง แต่ก็ด้วยเจตนาอันเดียวกัน คือ เพื่อช่วยเหลือมิให้ผู้กระทำผิดต้องรับโทษและเป็นการกระทำต่อเนื่องกัน การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นกรรมเดียวกัน แต่เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ในขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ดเป็นพนักงานฝ่ายปกครอง มีอำนาจสืบสวนสอบสวนจับกุมผู้กระทำผิดอาญา จำเลยที่ ๒ เป็นรองผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่และเป็นพนักงานสอบสวนจำเลยที่ ๓ เป็นหัวหน้าสถานีตำรวจกิ่งอำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๑๒ เวลากลางคืนหลังเที่ยง ถึงวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๑๖ เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยทั้งสามได้ประสพเหตุรู้ว่านายเซ่งจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๓๓๔/๒๕๑๖ ของศาลมณฑลทหารบกที่ ๖ (ศาลจังหวัดร้อยเอ็ด) ใช้อาวุธปืนยิงนายชาญตาย จำเลยมีอำนาจจับกุม สืบสวนสอบสวน แต่จำเลยร่วมกันละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และไม่กระทำการอย่างใด ๆ ในตำแหน่งอันเป็นการมิชอบ ไม่จับกุมนายเซ่งและไม่ทำการสืบสวน สอบสวน ดำเนินคดี ทำให้เกิดความเสียหายแก่นางพรมและประชาชนตามวันเวลาดังกล่าว จำเลยทั้งสามกับร้อยเอกจุลซึ่งศาลพิพากาาลงโทษไปแล้วกับพวกอีกหลายคน ร่วมกันยักย้ายทำลายศพนายชาญโดยเอาศพบรรทุกรถยนต์ไปทิ้งในเขตอำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร เพื่อปิดบังการตาย เพื่อช่วยเหลือนายเซ่งมิให้ต้องรับโทษ และจำเลยทั้งสามกับร้อยเอกจุลได้ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้นและทำให้สูญหายซึ่งพยานหลักฐานในการกระทำผิดของนายเซ่ง โดยร่วมกันขุดโกยเอาโลหิตของนายชาญที่พื้นดินหน้าชุดคุ้มครองหมู่บ้านดงบังไปทิ้งที่อื่น แล้วเอาดินมากลบเพื่อช่วยเหลือนายเซ่งมิให้ต้องรับโทษ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗, ๑๘๔, ๑๙๙, ๒๐๐ และ ๘๓ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.๒๕๐๒ มาตรา ๑๓
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดความประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๕๗, ๑๘๔, ๑๙๙, ๒๐๐ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.๒๕๐๒ มาตรา ๑๓ การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา ๑๕๗ อันเป็นบทหนัก ให้จำคุกจำเลยทั้งสามคนละ ๑ ปี คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ ๒ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามมาตรา๗๘ คงจำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๘ เดือน
โจทก์และจำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาใน (ปัญหา) ข้อเท็จจริงได้
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามที่จำเลยฎีกาว่าร้อยเอกจุลถูกฟ้องมาในคดีเดียวกับจำเลยทั้งสาม แต่โดยที่ร้อยเอกจุลรับสารภาพ ศาลจึงสั่งให้แยกฟ้องจำเลยทั้งสามที่ให้การปฏิเสธเป็นคดีนี้เสียใหม่ จึงเท่ากับเป็นคดีเดียวกัน โจทก์จึงอ้างร้อยเอกจุลเป็นพยานและนำสืบไม่ได้นั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๓๒ ที่บัญญัติห้ามมิให้โจทก์อ้างจำเลยเป็นพยานนั้น หมายถึงห้ามโจทก์อ้างตัวจำเลยเป็นพยานของโจทก์เท่านั้นถึงแม้ร้อยเอกจุลจะเป็นผู้ที่เคยถูกฟ้องร่วมกับจำเลยทั้งสามมาก่อนก็ตาม ก็มิใช่ตัวจำเลยในคดีที่โจทก์ประสงค์จะอ้างเป็นพยาน เพราะศาลได้สั่งให้แยกฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ต่างหาก จากคดีที่ร้อยเอกจุลเคยถูกฟ้องร่วมกับจำเลยทั้งสามแล้ว โจทก์จึงอ้างร้อยเอกจุลเป็นพยานได้ไม่ต้องห้าม โดยขณะที่ร้อยเอกจุลเบิกความเป็นพยานโจทก์ในคดีนี้ ร้อยเอกจุลมิไดอยู่ในฐานะเป็นจำเลย กรณีไม่ต้องห้ามตามมาตรา ๒๓๒ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าร้อยเอกจุลผู้นี้ยังไม่มีการสอบสวนในฐานะพยาน ย่อมอ้างเป็นพยานไม่ได้นั้น เห็นว่า ไม่มีบทกฎหมายใดเลยที่บัญญัติไว้เช่นนั้น
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ศาลต้องพิพากษาลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ฯ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสามเป็นเจ้าพนักงานมีอำนาจสืบสวนสอบสวนและจับกุมผู้กระทำผิดได้ทราบแล้วนายเซ่งเป็นคนยิงนายชาญตาย แต่ไม่ทำการจับกุมอันเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๕๗, ๒๐๐ และพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๑๓ รวมทั้งสมคบร่วมกันขนย้ายศพนายชาญผู้ตายไปทิ้งเพื่อปิดบังการตายอันเป็นความผิดตามมาตรา ๑๙๙ นอกจากนี้จำเลยทั้งสามยังสมคบร่วมกันโกยเลือดนายชาญไปทิ้งที่อื่น อันเป็นความผิดฐานทำลายพยานหลักฐานในการกระทำผิดตามมาตรา ๑๘๔ ก็ตาม ศาลฎีกาเห็นว่า แม้การกระทำผิดของจำเลยทั้งสามจะเป็นการกระทำหลายอย่าง แต่ก็ด้วยเจตนาอันเดียวกัน คือ เพื่อช่วยเหลือมิให้ผู้กระทำผิดต้องรับโทษ และเป็นกระทำต่อเนื่องกัน การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นกรรมเดียวกัน แต่เป็นผิดต่อกฎหมายหลายบท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ ซึ่งบัญญัติให้ใช้กฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดแก่ผู้กระทำผิด แต่ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยทั้งสามมีคุณงามความดีและไม่เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกมาก่อน จึงพิพากษาแก้เป็นว่า ให้รอการลงโทษจำเลยทั้งสามไว้มีกำหนดคนละ ๓ ปี

Share