แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำไว้ต่อศาลมีว่า โจทก์ให้ที่พิพาทแก่จำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 จะนำไปขายโดยไม่แจ้งให้โจทก์ทราบก่อนไม่ได้ ดังนี้ แม้ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ขายที่พิพาทให้จำเลยที่ 2 โดยไม่แจ้งให้โจทก์ทราบ ก็ไม่มีข้อสัญญาว่าจะต้องคืนที่ดินให้โจทก์ตามเดิม โจทก์จึงฟ้องเรียกคืนที่พิพาทกลับมาเป็นของตนอันเป็นข้อนอกเหนือไปจากสัญญาประนีประนอมยอมความหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาท ต่อมาโจทก์แบ่งที่ดินแปลงนี้บางส่วนเนื้อที่ ๕ ไร่ ให้แก่จำเลยที่ ๑ โดยมีเงื่อนไขไม่ให้นำที่ดินนี้ไปโอนขาย แลกเปลี่ยนจำนองแก่ผู้ใด เว้นแต่จะแจ้งให้โจทก์ทราบก่อน ถ้าผิดเงื่อนไขจะต้องคืนให้โจทก์ตามเดิม แต่จำเลยที่ ๑ กลับไปโอนขายให้จำเลยที่ ๒ โดยไม่แจ้งให้โจทก์ทราบเป็นการผิดสัญญาจึงขอให้บังคับจำเลยคืนที่ดินให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์แบ่งที่ดินให้จำเลยตามข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๓๖/๒๕๐๖ ของศาลชั้นต้น สัญญาประนีประนอมดังกล่าวไม่มีข้อตกลงว่า ถ้าจำเลยผิดสัญญาที่ดินพิพาทจะกลับมาเป็นของโจทก์
โจทก์จำเลยรับกันว่ามีการตกลงทำสัญญาประนีประนอมกันในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๓๖/๒๕๐๖ จริง ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานทั้งสองฝ่าย แล้ววินิจฉัยว่าโจทก์เรียกคืนที่ดินจากจำเลยไม่ได้ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินคืนจากจำเลยโดยอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้ต่อศาล จำเลยต่อสู้ว่ามิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา และโจทก์ฟ้องเรียกคืนไม่ได้ มีปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกคืนที่ดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้หรือไม่ ศาลฎีกาตรวจดูสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๓๖/๒๕๐๖ ของศาลจังหวัดสุพรรณบุรีแล้ว มีใจความว่า “จำเลย (คือโจทก์ในคดีนี้) ให้ที่พิพาทแก่โจทก์ (คือจำเลยที่ ๑ ในคดีนี้) ๕ ไร่ … และที่ซึ่งโจทก์ (จำเลยที่ ๑ ในคดีนี้) ได้ไปนี้ โจทก์ (จำเลยที่ ๑ คดีนี้) จะไปขาย ให้แลกเปลี่ยน จำนองผู้อื่นโดยไม่แจ้งให้จำเลย (โจทก์คดีนี้) เป็นลายลักษณ์อักษรหรือศาลทราบก่อนไม่ได้…” ตามสัญญาดังกล่าวแม้จะถือได้ว่ามีข้อตกลงมิให้จำเลยที่ ๑ ขายที่พิพาทเว้นแต่จะได้แจ้งให้โจทก์หรือศาลทราบก่อนก็ตาม แต่หากจำเลยไม่แจ้ง และจำเลยที่ ๑ ขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ ๒ ไปจริงตามฟ้อง ก็ไม่ปรากฏตามข้อสัญญาดังกล่าวว่าจะต้องคืนที่ดินให้โจทก์ตามเดิมดังที่โจทก์ได้กล่าวอ้างมาในฟ้อง โจทก์จึงฟ้องเรียกคืนที่พิพาทกลับมาเป็นของตนอันเป็นข้อที่นอกเหนือไปจากสัญญาประนีประนอมยอมความหาได้ไม่ คดีไม่จำต้องมีการสืบพยานดังโจทก์ฎีกาเพราะได้ความชัดอยู่แล้ว ศาลชั้นต้นส่งงดสืบพยานและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ยกฟ้องโจทก์นั้น ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน