แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อ พ.ศ. 2497 โจทก์ซึ่งเป็นภรรยาน้อยของ จ. ได้แจ้งชื่อโจทก์ จ.และบุตรโจทก์ 2 คนที่เกิดกับสามีคนเดิมเป็นผู้ครอบครองที่ดินมือเปล่าเพื่อขออกตราจองหลังจากนั้นไม่นานโจทก์ทะเลาะกับภรรยาาหลวงแล้วอพยพไปอยู่ต่างจังหวัดไปได้สามีใหม่ทางราชการออกตราจองให้ในปี พ.ศ. 2499 โจทก์ไม่ได้มารับ และไม่เคยกลับมาที่พิพาทอีกเลย เห็นได้ว่าโจทก์ได้สละเจตนาครอบครองไปก่อนออกตราจองแล้ว โจทก์ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท ไม่มีอำนาจฟ้องให้เพิกถอนการจดทะเบียนการซื้อขายที่พิพาทอีก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๙ โจทก์มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับนายจุ๋น ถังเงิน เด็กหญิงเทียมเด็กหญิงตูม ในที่ดินตราจองเลขที่ ๒๐๗ ตั้งอยู่ตำบลดอนชะเอม อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี เนื้อที่ ๑๘ ไร่ ๑ งาน และได้ครอบครองร่วมกันมามิได้แบ่งเป็นส่วนสัด ต่อมาเมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๑๒ จำเลยกับนายจุ๋น นางหล่อ ถังเงิน ร่วมกันแจ้งความเท็จต่อพนักงานที่ดินจังหวัดกาญจนบุรีว่าโจทก์มีความประสงค์ขายที่ดินดังกล่าวส่วนของโจทก์ให้กับ จำเลย เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อ จึงจดทะเบียนขายที่ดินส่วนของโจทก์ให้แก่จำเลยเมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๑๒ โจทก์จึงฟ้องจำเลย นายจุ๋น นางหล่อ ในข้อหาแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน คดีถึงที่สุดศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจำเลยกับพวกดังกล่าวตามคดีอาญาของศาลจังหวัดกาญจนบุรีหมายเลขแดงที่ ๙๘๘/๒๕๑๒ การจดทะเบียนขายที่ดินจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ เด็กหญิงเทียม และเด็กหญิงตูมมิได้รู้เห็นยินยอมด้วยตกเป็นโมฆะขอให้พิพากษาให้การจดทะเบียนนิติกรรมตราจองเลขที่ ๒๐๗ เป็นโมฆะและให้เพิกถอนการจดทะเบียน
จำเลยให้การว่า ที่ดินตามฟ้องเป็นของนายจุ๋น ถังเงิน มาแต่เดิม เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๔๙๗ โจทก์มาเป็นภรรยาน้อยนายจุ๋น ถังเงิน อยู่ประมาณ ๕-๖ เดือน ซึ่งในระยะนั้นทางราชการได้ทำการสำรวจการครอบครองที่ดินของหลวงสิทธิเทพการ เพื่อจัดสรรให้แก่ผู้ครอบครองตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อความเป็นธรรมแก่สังคม โจทก์ นายจุ๋น และเด็กหญิงเทียม เด็กหญิงตูม บุตรโจทก์ได้ร่วมกันแจ้งต่อเจ้าพนักงานสำรวจที่ดินว่าเป็นเจ้าของ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ นั้นเอง โจทก์เลิกกับนายจุ๋นได้พาเด็กหญิงเทียม และเด็กหญิงตูมสละที่ดินไปทำมาหากินที่อื่นและมีสามีใหม่ ยอมให้นายจุ๋นครอบครองเป็นเจ้าของทั้งแปลงตลอดมาตั้งแต่เป็นที่ดินมือเปล่าจนได้รับตราจองเมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๔๙๙ เกิน ๑ ปี ได้สิทธิครอบครองตามกฎหมาย นายจุ๋นเป็นผู้รับตราจองและได้ครอบครองโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาเกินกว่า ๒๐ ปี ต่อมาโอนขายให้จำเลยทั้งแปลงนิติกรรมสมบูรณ์โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า นายจุ๋นได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ จึงมีสิทธิที่จะโอนขายให้จำเลยได้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ที่พิพาทเดิมเป็นที่ดินมือเปล่าของหลวงสิทธิเทพการ ให้โจทก์และนายจุ๋นเช่าทำประโยชน์ ได้ถูกทางราชการเวนคืน และเจ้าพนักงานได้ออกสำรวจรังวัดเพื่อออกตราจองให้แก่ผู้เช่าที่ได้ครอบครองอยู่ในขณะนั้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๗ ขณะสำรวจนายจุ๋นไม่อยู่ โจทก์ซึ่งเป็นภรรยาน้อยของนายจุ๋นได้แจ้งสำรวจชื่อโจทก์ นายจุ๋น และเด็กหญิงเทียม เด็กหญิงตูมบุตรโจทก์ที่เกิดกับสามีเดิมเป็นผู้ครอบครอง หลังจากนั้นไม่นานโจทก์ทะเลาะกับภรรยาหลวงแล้วอพยพไปอยู่ต่างจังหวัดไปได้สามีใหม่ ทางราชการออกตราจองให้ในปี ๒๔๙๙ ในตราจองมีชื่อโจทก์ เด็กหญิงเทียม เด็กหญิงตูม และนายจุ๋น เป็นเจ้าของ โจทก์ไม่ได้มารับตราจอง และไม่เคยกลับมาที่พิพาทอีกเลย เห็นได้ว่าได้สละเจตนาครอบครองไปก่อนออกตราจองให้ โจทก์ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท ไม่มีอำนาจฟ้อง
พิพากษายืน